คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในบ้านพิพาทกับโจทก์โดยได้ปลูกบนที่ดิน 2 แปลง ที่ดินแปลงหนึ่งจำเลยได้รับการ ยกให้จากมารดา อีกแปลงหนึ่งคือที่ดินพิพาทโจทก์ได้รับยกให้ จากน้องชายจำเลยโดยมีข้อแลกเปลี่ยนให้โจทก์ยอมรับบุตรน้องชาย บุตรของน้องชายจำเลยเป็นบุตรของโจทก์ ดังนั้น แม้โจทก์ จะมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียวก็ตาม แต่โจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาในระหว่างที่อยู่กินฉันสามีภริยา กับจำเลย โดยได้รับการยกให้จากน้องชายจำเลยด้วย ความสัมพันธ์และข้อแลกเปลี่ยนระหว่างบุคคลในครอบครัว ทั้งสองฝ่ายได้ครอบครองร่วมกันมาระหว่างอยู่กินด้วยกัน ถือว่าเป็นทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกัน มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันคนละครึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 27556 พร้อมบ้านเลขที่ 67/31 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแปลงนั้นจำเลยมาขออาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไป แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านเลขที่ 67/31 และที่ดินโฉนดเลขที่ 27556 ให้จำเลยชำระค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 4,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์กับจำเลยได้อยู่กินฉันสามีภริยากันมานานกว่า 10 ปีมาแล้ว ที่ดินและบ้านตามฟ้องโจทก์กับจำเลยได้ร่วมกันทำมาหาได้ระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาจำเลยจึงมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ในฐานะเป็นหุ้นส่วน จำเลยมีสิทธิอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนลงชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและบ้านพิพาท หากโจทก์ไม่ยินยอมให้นำที่ดินพร้อมบ้านพิพาทออกขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินที่ได้ให้โจทก์กับจำเลยคนละครึ่ง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกับโจทก์โจทก์จำเลยเคยเป็นสามีภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาในปลายปี 2531 จำเลยประพฤติตนไม่ดีโจทก์จึงเลิกกับจำเลยและได้แบ่งทรัพย์สินให้แก่จำเลยไปแล้ว ทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว จำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์พิพาทขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง และให้โจทก์จดทะเบียนลงชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 27556ตำบลโสธร อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทราพร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 67/31 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าวหากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้โจทก์แบ่งที่ดินพิพาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติโดยมิได้โต้แย้งกันว่าจำเลยเคยอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์โดยมิได้จดทะเบียนสมรส และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ในบ้านพิพาท คงมีปัญหาในชั้นฎีกาเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ในที่ดินพิพาทด้วยหรือไม่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทได้มาระหว่างโจทก์กับจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยา โดยหากโจทก์มิได้เป็นสามีจำเลยนายประสงค์ เรืองโรจน์ น้องชายจำเลยก็คงไม่ยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์จำเลยจึงมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ด้วยกึ่งหนึ่งนั้นเห็นว่า บ้านพิพาทซึ่งข้อเท็จจริงยุติแล้วว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ได้ปลูกบนที่ดิน 2 แปลง และล้อมรั้วรอบที่ดินทั้งสองแปลง ที่ดินแปลงหนึ่งจำเลยได้รับการยกให้จากมารดาอีกแปลงหนึ่งคือที่ดินพิพาทโจทก์ได้รับยกให้จากน้องชายจำเลยโดยมีข้อแลกเปลี่ยนให้โจทก์ยอมรับบุตรของน้องชายจำเลยเป็นบุตรของโจทก์ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแม้โจทก์จะมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียวก็ตาม แต่โจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาในระหว่างที่อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย โดยได้รับการยกให้จากน้องชายจำเลยด้วยความสัมพันธ์และข้อแลกเปลี่ยนระหว่างบุคคลในครอบครัว ทั้งสองฝ่ายได้ครอบครองร่วมกันมาระหว่างอยู่กินด้วยกัน ถือว่าเป็นทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกันมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันคนละครึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้โจทก์แบ่งที่ดินพิพาทนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share