แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พฤติการณ์ของผู้ตายเป็นโจรปล้นทรัพย์ทำร้ายนายเหืองจำเลยแล้วยังจะทำซ้ำอีก นายเบืองนายโหนจำเลยเข้าไปป้องกันโดยตีผู้ตายเสียก่อนเพื่อไม่ให้ผู้ตายทำร้ายนายเหืองจำเลย พรรคพวกของผู้ตาย 2 คน ยังกลับมาช่วยผู้ตายอีก ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน ผู้ตายกับพวกจะก่อกรรมรุนแรงอย่างใดต่อไปย่อมรู้ไม่ได้ ในที่สุดผู้ตายก็ตายลงในเวลานั้นเอง การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความจำเป็นเพื่อป้องกันชีวิตให้พ้นอันตรายซึ่งเกิดโดยผิดด้วยกฎหมาย เช่นนี้ ไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันฆ่านางมอลตายโดยเจตนาขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 63
จำเลยทั้ง 4 ปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยที่ 1,2, 3 ให้การใหม่ว่า ได้ทำร้ายผู้ตายจริง เพื่อป้องกันตัวและทรัพย์พอสมควรแก่เหตุ
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามคำพยานจำเลย แต่เห็นว่า ตามรายงานชันสูตรพลิกศพ ผู้ตายมีบาดแผลศีรษะแตก สมองไหล กับมีบาดแผลฉกรรจ์อีกหลายแห่งแสดงว่าได้กระทำอย่างไม่ปราณี ทั้งที่ยังมีโอกาสกระทำอย่างอื่นได้ การกระทำของจำเลยที่ 1, 2, 3 เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ส่วนจำเลยที่ 4 ไม่ได้ทำผิดด้วย พิพากษาว่า จำเลยที่ 1, 2, 3 มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 245 (ที่ถูกน่าจะเป็น 249), 53 จำคุกจำเลยที่ 1 ผู้มีมีด 2 ปี จำเลยที่ 2-3 คนละ 1 ปี คำให้การของจำเลยทั้งสามนี้มีประโยชน์ในทางพิจารณาลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 ตามมาตรา 59 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 1 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2-3 คนละ 8 เดือน ของกลางริบ กับให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 3 ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น แต่เห็นว่า จำเลยทั้งสามได้ทำร้ายผู้ตายเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 50 พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1, 2, 3 ด้วย ของกลางคืนจำเลย
โจทก์ฎีกาว่า ควรจะฟังคำพยานโจทก์ ลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 3ตามฟ้อง และถึงหากจะฟังคำพยานจำเลยก็เป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ
ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ของผู้ตายเป็นโจรปล้นทรัพย์ ทำร้ายนายเหืองจำเลยแล้วยังจะทำซ้ำอีก นายเบือง นายโทน จำเลยเข้าไปป้องกันโดยตีผู้ตายเสียก่อนไม่ให้ทำร้ายนายเหืองจำเลย พรรคพวกของผู้ตาย 2 คนยังกลับมาช่วยผู้ตายอีก ในขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนผู้ตายกับพวกจะก่อกรรมรุนแรงอย่างใดต่อไปย่อมรู้ไม่ได้ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความจำเป็นเพื่อป้องกันชีวิตให้พ้นอันตรายซึ่งเกิดโดยผิดด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุ
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์