แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นอกจากจำเลยจะฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายเนื่องจากโจทก์ทั้งสองผิดสัญญาแล้ว ยังฟ้องแย้งขอให้โจทก์ส่งมอบตึกพิพาทแก่จำเลยและห้ามโจทก์ทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องกับตึกพิพาทด้วย จึงเป็นคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับฟ้องขอให้ขับไล่โจทก์ทั้งสองและบริวารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(1) เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินเดือนละ68,000 บาท นับแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2526 เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารจะออกจากตึกพิพาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินที่ต้องชำระแต่ละเดือนจนกว่าโจทก์ทั้งสองจะชำระเสร็จแก่จำเลย เช่นนี้การที่โจทก์ทั้งสองจะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่โจทก์ทั้งสองและบริวารได้ออกจากตึกพิพาทแล้วหรือไม่และออกไปเมื่อใด จึงเป็นกรณีที่พอแปลความหมายได้ว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารต้องออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ วรรคหนึ่งซึ่งมีผลอย่างเดียวกับให้ขับไล่โจทก์ทั้งสองและบริวารออกจากตึกพิพาทอยู่ในตัว ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นออกหมายจับบริวารของโจทก์ทั้งสองตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีเนื่องจากไม่ยอมออกไปจากตึกพิพาทตามคำบังคับจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(1) แล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน5,820,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 13 กันยายน 2525 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง และให้โจทก์ทั้งสองชำระเงินเดือนละ 68,000 บาทนับแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2526 เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารจะออกจากตึกพิพาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินที่ต้องชำระแต่ละเดือนจนกว่าโจทก์ทั้งสองจะชำระเสร็จให้แก่จำเลยคำขอของโจทก์ทั้งสองและจำเลยนอกจากนี้ให้ยกและให้ยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยในชั้นบังคับคดี ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีโดยมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้จัดการให้โจทก์ทั้งสองชำระเงินเดือนละ 68,000 บาท นับแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2526จนกว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารจะออกจากตึกพิพาท เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้ปิดประกาศให้โจทก์ทั้งสองและบริวารออกไปจากตึกพิพาทดังกล่าว และปิดประกาศให้ผู้ที่อ้างว่ามิใช่บริวารของโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนด8 วัน นับแต่วันปิดประกาศ ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2537เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลเพื่อมีคำสั่งจับกุมและกักขังบริวารของโจทก์ทั้งสองและให้ออกหมายจับบริวารของโจทก์ทั้งสองเนื่องจากไม่ออกไปจากตึกพิพาทตามคำบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายจับบริวารของโจทก์ทั้งสองตามรายชื่อที่ขอให้มีคำสั่งจับกุมและกักขังดังกล่าว ถ้าเป็นบุคคลที่มาอยู่ภายหลังให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีใหม่ต่อไป
โจทก์ที่ 2 ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีอำนาจรายงานต่อศาลให้มีคำสั่งจับกุมและกักขังโจทก์ทั้งสองและบริวารเนื่องจากคดีนี้โจทก์ทั้งสองกับจำเลยพิพาทกันเกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งจะต้องบังคับกันในทางทรัพย์สินไม่มีประเด็นเรื่องขับไล่การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลให้ดำเนินการดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 ทวิ และ 296 จัตวา (1) ขอให้งดออกหมายจับโจทก์ทั้งสองและบริวาร
ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง
โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้งดออกหมายจับโจทก์ทั้งสองและบริวาร
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าที่ศาลฎีกาพิพากษาดังกล่าวศาลชั้นต้นมีอำนาจออกหมายจับกุมและกักขังโจทก์ทั้งสองและบริวารตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้นอกจากจำเลยจะฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายเนื่องจากโจทก์ทั้งสองผิดสัญญาแล้ว ยังฟ้องแย้งขอให้โจทก์ทั้งสองส่งมอบตึกพิพาทแก่จำเลยและห้ามโจทก์ทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องกับตึกพิพาทด้วยจึงเป็นคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับฟ้องขอให้ขับไล่โจทก์ทั้งสองและบริวารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองชำระเงินเดือนละ 68,000 บาท นับแต่วันที่28 มิถุนายน 2526 เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารจะออกจากตึกพิพาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินที่ต้องชำระแต่ละเดือนจนกว่าโจทก์ทั้งสองจะชำระเสร็จแก่จำเลย เช่นนี้จะเห้นได้ว่าการที่โจทก์ทั้งสองจะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่โจทก์ทั้งสองและบริวารได้ออกจากตึกพิพาทแล้วหรือไม่และออกไปเมื่อใดจึงเป็นกรณีที่พอแปลความหมายได้ว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารต้องออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ วรรคหนึ่งซึ่งมีผลอย่างเดียวกับให้ขับไล่โจทก์ทั้งสองและบริวารออกจากตึกพิพาทอยู่ในตัว ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นออกหมายจับบริวารของโจทก์ทั้งสองตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีเนื่องจากไม่ออกไปจากตึกพิพาทตามคำบังคับจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (1) แล้ว
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง