คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยถอดกางเกงนอกและกางเกงในผู้เสียหายแล้วจับอวัยวะเพศของผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายพยายามต่อสู้ เป็นการใช้แรงกายกระทำต่อผู้เสียหายถือได้ว่าจำเลยกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,278, 310, 318
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 278, 318 วรรคสาม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร จำคุก 3 ปี ความผิดฐานกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 1 ปี รวมจำคุกจำเลย4 ปี คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 เสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยได้พรากนางสาวส. ผู้เสียหาย อายุ 17 ปี ไปจากความปกครองดูแลของนางก. มารดา เพื่อการอนาจารโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย และเมื่อจำเลยพาผู้เสียหายเข้าไปในโรงแรมแล้วได้ถอดกางเกงนอกและกางเกงในของผู้เสียหายออกและจับอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกามีว่า จำเลยกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย โดยใช้กำลังประทุษร้ายดังโจทก์ฎีกาหรือไม่ ได้ความจากผู้เสียหายว่า ขณะจำเลยพยายามถอดกางเกง ผู้เสียหายสู้แต่สู้ไม่ไหวจำเลยจึงถอดกางเกงนอกและกางเกงในของผู้เสียหายออกได้ แล้วจำเลยพยายามจับอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ยินยอมได้ถีบจำเลยตกจากเตียงไป แต่ในที่สุดจำเลยก็จับอวัยวะเพศของผู้เสียหายได้ผู้เสียหายต่อสู้จำเลยจนจำเลยล้มลงไปแล้วผู้เสียหายหลบหนีเข้าไปในห้องน้ำล็อกประตูเอาไว้ เห็นว่าผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ได้พยายามโอนอ่อนตามจำเลยมาตลอดเพื่อหวังให้จำเลยพากลับบ้าน ข้อระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายจะปรักปรำให้ร้ายจำเลยจึงไม่มีเชื่อได้ว่าผู้เสียหายไม่สมัครใจให้จำเลยถอดกางเกง จับอวัยวะเพศของตนการที่จำเลยถอดกางเกงนอกและกางเกงในของผู้เสียหายแล้วจับอวัยวะเพศของผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายพยายามต่อสู้นี้เป็นการใช้แรงกายกระทำต่อกายของผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้าย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278 ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี รวมโทษทั้งสิ้นเป็นจำคุก 3 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share