คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 124/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกจำเลย และให้เพิ่มโทษตามมาตรา 93 กึ่งหนึ่งกับลดโทษตามมาตรา 78 กึ่งหนึ่ง ดังนี้ ส่วนของการเพิ่มเท่ากับส่วนของการลด ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจเห็นสมควรไม่เพิ่มไม่ลดโทษที่กำหนดไว้นั้นได้ ตามมาตรา 54 ประมวลกฎหมายอาญาจำเลยไม่อาจอ้างได้ว่าส่วนของการเพิ่มน้อยกว่าส่วนของการลดถ้าหากเพิ่มโทษเสียก่อนแล้วลดในภายหลัง
จำเลยพ้นจากการกักกันภายหลังวันที่ 13 พฤษภาคม 2500 ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินฯ ใช้บังคับย่อมไม่ได้รับผลการล้างมลทินตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยอาจถูกพิพากษาให้กักกันในฐานที่เป็นผู้เคยถูกศาลพิพากษาให้กักกันมาแล้วได้

ย่อยาว

โจทก์ต้องขอให้ลงโทษ เพิ่มโทษและกักกันจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕,๙๓ และ ๔๑ โดยกล่าวฟ้องว่า จำเลยลักพระพุทธรูป ๔ องค์ รวมราคา ๓๐๐ บาท ของวัดประชาระบือธรรม นิติบุคคล ไปจากแท่นที่บูชาบนหอสวดมนต์ ก่อคดีนี้จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไม่น้อยกว่า ๖ เดือน ฐานรับของโจร จำเลยพ้นโทษแล้วภายในเวลา ๓ ปี กลับมากระทำผิดคดีนี้อีกไม่เข็ดหลาบขอให้เพิ่มโทษจำเลย และจำเลยเคยต้องคำพิพากษาของศาลอาญาให้กักกันมาแล้วตามประวัติแจ้งโทษท้ายฟ้อง ภายในเวลา ๑๐ ปี กลับมากระทำความผิดในคดีนี้ ไม่เข็ดหลาบ ขอให้พิพากษากักกันจำเลย
จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้ทำผิดจริงตามฟ้อง ข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษตลอดจนกักกันก็รับว่าเป็นความจริง แต่ในกรณีเคยต้องกักกันมาแล้วนั้น จำเลยได้รับการลบล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสครบ ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๕๙๙ แล้ว ขออย่างได้กักกันจำเลย
คู่ความไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ ให้จำคุก ๔ ปี จำเลยต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาเกิน ๖ เดือนฐานรับของโจร ภายใน ๓ ปีมาทำผิดคดีนี้ซ้ำในอนุมาตราเดียวกัน ให้เพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา ๙๓ กึ่งหนึ่ง จำเลยรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา ๗๘ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ปรากฏว่าโทษเพิ่มและลดเท่ากัน เห็นควรไม่เพิ่มไม่ลด จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้จำคุก ตามคดีอาญาแดงที่ ๕๓๑/๒๕๐๗ ฐานรับของโจร จำคุก ๑ ปี พ้นโทษเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๐๘ และถูกจำคุกตามคดีอาญาแดงที่ ๔๗๗/๒๕๑๐ ฐานรับของโจร จำคุกกว่า ๖ เดือน และภายใน ๑๐ ปีนับแต่จำเลยพ้นโทษมาทำผิดคดีนี้อีก ถือว่าเป็นผู้กระทำผิดติดนิสัยให้กักกันจำเลย ๓ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในข้อกฎหมายว่า
๑. คดีนี้ศาลตั้งกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลย ให้จำคุก ๔ ปี เมื่อเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งแล้วจะเป็นโทษจำคุก ๖ ปี และลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งจากผลที่เพิ่มแล้วนั้นจะเหลือโทษจำคุก ๓ ปี ส่วนของการเพิ่มน้อยกว่าส่วนของการลด ที่ศาลล่างทั้งสองไม่เพิ่มไม่ลดจึงไม่ชอบ
๒. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้กักกันมาแล้ว จึงขอให้กักกันในคดีนี้ มิได้ฟ้องขอให้กักกันจำเลยเพราะเคยต้องโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า ๒ ครั้ง และกรณีเคยถูกศาลพิพากษาให้กักกัน จำเลยได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสครบ ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๔๙๙ แล้ว ถือได้ว่าจำเลยมิเคยต้องคำพิพากษาให้กักกัน ขอให้ยกฟ้องที่ขอให้กักกันเสีย
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาจำเลยข้อ ๑ เป็นปัญหาเกี่ยวกับการบังคับตามมาตรา ๕๔ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งบัญญัติว่า “ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลง ให้ศาลตั้งกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยเสียก่อนแล้วจึงเพิ่มหรือลดถ้ามีทั้งการเพิ่มและการลดโทษที่จะลง ให้เพิ่มก่อนแล้วจึงลดจากผลที่เพิ่มแล้วนั้น ถ้าส่วนของการเพิ่มเท่ากับหรือมากกว่าส่วนของการลด และศาลเห็นสมควรจะไม่เพิ่มไม่ลดก็ได้” ดังนี้ เมื่อคดีนี้มีทั้งการเพิ่มและการลดโทษที่จะลง คือ เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งและลดโทษกึ่งหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ว่าส่วนของการเพิ่มเท่ากับส่วนของการลด จึงอยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะไม่เพิ่มไม่ลดก็ได้ ฉะนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจเห็นสมควรไม่เพิ่มไม่ลดโทษที่จะลง จะถือว่าเป็นการมิชอบไม่ได้
ส่วนฎีกาข้อ ๒ นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้กักกันจำเลยเฉพาะในเหตุที่จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้กักกันมาแล้ว มิได้ฟ้องขอให้กักกันในเหตุที่จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า ๖ เดือนมาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง ฉะนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้กักกันในเหตุที่จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า ๖ เดือนมาแล้ว ไม่น้อยกว่าสองครั้ง ซึ่งโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องจึงเป็นการไม่ถูกต้อง
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ศาลจะพิพากษาให้กักกันจำเลยในเหตุที่จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้กักกันมาแล้วตามที่โจทก์ฟ้องได้หรือไม่
พระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสครบ ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๓ บัญญัติว่า “ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ต้องคำพิพากษาให้ลงโทษในกรณีความผิดคดีต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙ และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หรือซึ่งได้พ้นโทษไปโดยผลแห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการพระราชทานอภัยโทษเนื่องในโอกาสครบ ๒๕ พุทธศตวรรษ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดในคดีในคดีนั้น ๆ”
ปรากฏตามประวัติแจ้งโทษจำเลยท้ายฟ้อง จำเลยเคยถูกศาลอาญาพิพากษาลงโทษฐานลักทรัพย์ ให้จำคุก ๒ ปี ๘ เดือน ๔ วัน และกักกัน ๓ ปี ตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ๘๘๗/๒๔๙๘ จำเลยพ้นโทษเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๐๓ อันเป็นเวลาภายหลังวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๐๐ ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสครบ ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๔๙๙ ใช้บังคับจำเลยจึงไม่ได้รับผลการล้างมลทินตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัตินี้ คงถือได้ว่าจำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้กักกันมาแล้วซึ่งยังมีมลทินอยู่ ฉะนั้น เมื่อจำเลยมากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้องคดีนี้อีกภายในเวลาสิบปีนับแต่วันที่จำเลยพ้นจากการกักกันจนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่ต่ำกว่า ๖ เดือน ศาลก็พิพากษาให้กักกันจำเลยในเหตุที่จำเลยเคยถูกศาลอาญาพิพากษาให้กักกันตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลล่างทั้งสอง ในผลที่พิพากษาให้กักกันจำเลย
พิพากษายืน

Share