คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1057/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอ้างเหตุสิทธิในการฟ้องว่าเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2524 ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524 ใช้บังคับโดยบัญญัติให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการของกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ และวันที่ 30 มีนาคม 2525 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศกำหนดให้ทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอกเป็นทางหลวงที่มีความจำเป็นต้องสร้างโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีอำนาจเข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินของโจทก์ทุกแปลงตั้งอยู่ที่แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา (พระโขนง) กรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ตามพระราชกฤษฎีกานี้ตามมาตรา 3 ซึ่งมีพื้นที่เขตยานนาวาตรงตามโฉนดที่ดินของโจทก์ดังกล่าวในฟ้องและเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสอง ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปร่วมประชุมกับคณะกรรมการปรองดองฯเพื่อพิจารณาไกล่เกลี่ยค่าทดแทน แต่ตกลงกันไม่ได้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ทำการสำรวจที่ดินซึ่งถูกเวนคืน มีที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนด้วย แต่ตกลงค่าทดแทนกันไม่ได้ จำเลยที่ 1 ได้นำเงินค่าทดแทนไปวางณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี เพื่อชดใช้ให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ได้เข้าครอบครองที่ดินของโจทก์แล้วจึงเห็นได้ชัดว่าจำเลยทั้งสองได้ทำการหรือได้ปฏิบัติครบถ้วน แห่งเงื่อนไขตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 67แล้วที่ดินของโจทก์ถูกสร้างเป็นทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกช่วงถนนนางลิ้นจี่ถึงถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วมิใช่ถูกสร้างเป็นทางด่วนพิเศษสายดาวคะนอง-ท่าเรือที่ดินของโจทก์จึงมิได้ถูกเวนคืนโดยพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษสายดาวคะนอง-ท่าเรือแม้จำเลยที่ 1 มิได้เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม แต่คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกให้แก่จำเลยที่ 1 และต่อมาอนุมัติให้ทางการพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการสำรวจออกแบบและก่อสร้างถนนรัชดาภิเษกช่วงถนนนางลิ้นจี่ถึงถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ตั้งงบประมาณ ความรับผิดชอบในการดำเนินการก่อสร้างถนนเทศบาลสายรัชดาภิเษกช่วงถนนนางลิ้นจี่ถึงถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยายังคงเป็นของจำเลยที่ 1 และตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 64 ได้กำหนดเงื่อนไข ในการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืนต้องระบุ (1) ความประสงค์ของการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์(2) เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (3) ท้องที่ที่จะเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524 ข้อ 4 ให้จำเลยที่ 2เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกานี้ก็คือเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 64(2) นั่นเอง และมีหน้าที่จ่ายค่าทดแทนตามข้อ 67 และข้อ 74 ถึงข้อ 77 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาท เมื่อโจทก์เห็นว่าเงินค่าทดแทนที่ดินที่จำเลยทั้งสองกำหนดยังไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดได้

ย่อยาว

คดีแปดสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษา และให้เรียกโจทก์ในคดีดำของศาลชั้นต้นทั้งแปดสำนวนเสียใหม่โดยเรียกโจทก์ในคดีดำที่ 8226/2529 ว่าโจทก์ที่ 1 โจทก์ในคดีดำที่ 8227/2529 ว่าโจทก์ที่ 2 โจทก์ในคดีดำที่ 8228/2529 ว่าโจทก์ที่ 3 โจทก์ในคดีดำที่ 8432/2529 ว่าโจทก์ที่ 4 โจทก์ในคดีดำที่ 9677/2529 ว่าโจทก์ที่ 5 โจทก์ในคดีดำที่ 8846/2529ว่าโจทก์ที่ 6 โจทก์ในคดีดำที่ 9271/2529 ว่าโจทก์ที่ 7 และโจทก์ในคดีดำที่ 9272/2529 ว่าโจทก์ที่ 8
โจทก์ทั้งแปดฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าทดแทนและดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 8 จำนวน 733,540บาท, 1,343,236 บาท, 304,106 บาท, 1,097,135 บาท,390,955 บาท, 724,014 บาท, 305,376 บาท และ 706,182 บาทตามลำดับ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน554,400 บาท, 1,015,200 บาท, 229,840 บาท, 829,400 บาท,295,200 บาท, 547,200 บาท, 230,400 บาท และ 532,800 บาทแต่ละจำนวนนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การทั้งแปดสำนวนทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1มิได้เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ หรือมิได้เป็นเจ้าหน้าที่ผู้กำหนดค่าทดแทนในการเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524 โดยผู้มีอำนาจหน้าที่ดังกล่าว คือ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1เป็นบุคคลต่างหากจากกันในการเวนคืนที่ดินของโจทก์ทั้งแปดทั้งมิได้กระทำในนามของตัวแทนจำเลยที่ 1 โจทก์ทั้งแปดจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งแปด แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งแปดที่จะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ตามกฎหมายอื่น
โจทก์ทั้งแปดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทดแทนเพิ่มแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 8 จำนวน 361,900 บาท, 803,700 บาท,161,840 บาท, 599,200 บาท, 182,700 บาท, 357,200 บาท,159,000 บาท และ 347,800 บาท ตามลำดับ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินในแต่ละจำนวน นับตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2528 วันที่ 4 กรกฎาคม 2528 วันที่ 25มิถุนายน 2528 วันที่ 23 กรกฎาคม 2528 วันที่ 27 มิถุนายน 2528วันที่ 4 กรกฎาคม 2528 วันที่ 8 สิงหาคม 2528 และวันที่ 9สิงหาคม 2528 ตามลำดับของจำนวนวันที่ และต้นเงินดังกล่าวเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ทั้งแปดในแต่ละคน
จำเลยทั้งสองฎีกาทั้งแปดสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าเดิมเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2514 ได้มีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 23 ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2514 ประกาศใช้บังคับกำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายรัชดาภิเษกตอนตำบลวัดท่าพระ-ตำบลสามเสนนอก โดยให้อธิบดีกรมทางหลวงเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการ แต่ต่อมาวันที่ 7 สิงหาคม 2516คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้มอบการดำเนินการสร้างทางหลวงสายรัชดาภิเษกให้แก่จำเลยที่ 1 และในวันที่ 24 พฤษภาคม 2517 ได้มีประกาศของกระทรวงมหาดไทย เรื่อง เปลี่ยนประเภททางหลวง โดยเปลี่ยนแปลงประเภททางหลวงพิเศษสายรัชดาภิเษกเป็นทางหลวงเทศบาลและในวันที่ 22 กันยายน 2520 ได้มีประกาศ เรื่อง กำหนดทางหลวงที่มีความจำเป็นต้องสร้างโดยเร่งด่วนกำหนดให้ทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกเป็นทางหลวงที่มีความจำเป็นต้องสร้างโดยเร่งด่วนครั้นวันที่ 16 กันยายน 2523 ได้มีมติของคณะรัฐมนตรีให้โอนการก่อสร้างจากจำเลยที่ 1 ในการสร้างถนนเทศบาลสายรัชดาภิเษกช่วงจากถนนนางลิ้นจี่ถึงถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาให้แก่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเข้าดำเนินการ โดยให้จำเลยที่ 1เป็นผู้ตั้งงบประมาณ และในวันที่ 18 ธันวาคม 2524 ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524โดยมาตรา 3 กำหนดให้แนวทางหลวงที่จะสร้างอยู่ในท้องที่เขตบางกอกใหญ่ เขตธนบุรี เขตยานนาวา เขตพระโขนง เขตปทุมวันเขตห้วยขวางและเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และมาตรา 4กำหนดให้จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาหลังจากนั้นในวันที่ 12 มีนาคม 2525 ได้มีประกาศของกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้ทางหลวงเทศบาลสายดังกล่าวเป็นทางหลวงที่มีความจำเป็นต้องสร้างโดยเร่งด่วนอีกครั้งหนึ่ง และในวันที่ 27 มิถุนายน 2527จำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ว่าการการทางเทศบาลพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีตามที่กล่าวมาแล้วในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2527 กระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการปรองดองฯ ขึ้นคณะหนึ่งเพื่อทำการพิจารณาไกล่เกลี่ยค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน ที่ดินของโจทก์ทั้งแปดตามโฉนดที่กล่าวในฟ้องถูกกำหนดเป็นแนวทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ช่วงถนนนางลิ้นจี่ถึงถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524โดยที่ดินของโจทก์ทั้งแปดต้องถูกเวนคืนเนื้อที่ 77 ตารางวา, 141 ตารางวา, 34 ตารางวา, 115 ตารางวา, 41 ตารางวา, 76 ตารางวา,32 ตารางวา, 74 ตารางวา ตามลำดับ จำเลยที่ 2 ได้เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวของโจทก์ทั้งแปดแล้ว และจำเลยที่ 1 ได้นำเงินค่าทดแทนที่ดินที่กำหนดให้โจทก์ทั้งแปดจำนวน 138,600 บาท, 253,800 บาท, 76,160 บาท, 205,800 บาท, 73,800 บาท, 136,800 บาท,57,600 บาท, 133,200 บาท ตามลำดับ ไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี ซึ่งโจทก์ทั้งแปดได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากสำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีแล้วปัญหาว่าโจทก์ทั้งแปดมีอำนาจฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยทั้งสองหรือไม่นั้น จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ทั้งแปดฟ้องเรียกค่าทดแทนที่ดินโดยอ้างสิทธิตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกในท้องที่แขวงวัดท่าพระเขตบางกอกใหญ่ แขวงตลาดพลู แขวงบุคคโล เขตธนบุรี แขวงคลองเตยเขตพระโขนง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวางแขวงลาดยาว เขตบางเขนและแขวงบางซื่อ เขตดุสิต กรุงเทพมหานครพ.ศ. 2526 ไม่ได้บัญญัติให้เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในแขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา ซึ่งเป็นบริเวณที่ดินของโจทก์ทั้งแปดตั้งอยู่ยังไม่ได้ถูกเวนคืน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือจำเลยไม่มีอำนาจครอบคลุมไปถึงที่ดินของโจทก์ทั้งแปดจึงไม่มีอำนาจจะไปกำหนดค่าทดแทนที่ดิน เพราะที่ดินของโจทก์ทั้งแปดยังไม่ถูกเวนคืน และจำเลยที่ 1 มิได้เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอกพ.ศ. 2524 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 ชำระค่าทดแทนที่ดินและพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวมิได้กำหนดให้บุคคลใดเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามความหมายในข้อ 66, 67 และ 76แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 เพียงแต่กำหนดให้จำเลยที่ 2เป็นเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ซึ่งมิใช่เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน จึงไม่อาจถูกฟ้องได้ นอกจากนี้ที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนโดยพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษสายดาวคะนอง-ท่าเรือ ซึ่งพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนที่ดินของโจทก์โดยจำเลยทั้งสองไม่มีอำนาจตามกฎหมายใดโจทก์ทั้งแปดจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง เห็นว่า โจทก์ทั้งแปดฟ้องจำเลยโดยอ้างเหตุสิทธิในการฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2524 ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอกพ.ศ. 2522 ใช้บังคับ โดยบัญญัติให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการของจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ และวันที่ 30 มีนาคม 2525 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศกำหนดให้ทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก เป็นทางหลวงที่มีความจำเป็นต้องสร้างโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีอำนาจเข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินของโจทก์ทั้งแปดทุกแปลงตั้งอยู่ที่แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา (พระโขนง)กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ตามพระราชกฤษฎีกานี้ตามมาตรา 3 ซึ่งมีพื้นที่เขตยานนาวาตรงตามโฉนดที่ดินของโจทก์ดังกล่าวในฟ้อง และเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งแปดไปร่วมประชุมกับคณะกรรมการปรองดองฯเพื่อพิจารณาไกล่เกลี่ยค่าทดแทนแต่ตกลงกันไม่ได้ ฟ้องของโจทก์ไม่ได้อ้างสิทธิฟ้องตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา และได้ความจากนายสมิท บัวรุ่ง พยานจำเลยทั้งสองว่าพยานมีหน้าที่ออกไปสำรวจพื้นที่ที่จะถูกเวนคืนในช่วงถนนนางลิ้นจี่ถึงถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ได้ทำการสำรวจตามแผนผังเอกสารหมาย ล.1 ที่ดินซึ่งถูกเวนคืนมีที่ดินของโจทก์ที่ 1 จำนวน 76 ตารางวา โจทก์ที่ 2 จำนวน 141 ตารางวาโจทก์ที่ 3 จำนวน 34 ตารางวา โจทก์ที่ 4 จำนวน 115 ตารางวาโจทก์ที่ 5 จำนวน 41 ตารางวา โจทก์ที่ 6 จำนวน 76 ตารางวาโจทก์ที่ 7 จำนวน 30 ตารางวา โจทก์ที่ 8 จำนวน 94 ตารางวาและได้ความจากพยานจำเลยทั้งสองว่าตกลงค่าทดแทนกันไม่ได้จำเลยที่ 1 ได้นำเงินค่าทดแทนไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดี เพื่อชดใช้ให้แก่โจทก์ทั้งแปด และจำเลยที่ 2ได้เข้าครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งแปดแล้ว จึงเห็นได้ชัดว่าจำเลยทั้งสองได้ทำการหรือได้ปฏิบัติครบถ้วนแห่งเงื่อนไขตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 67 แล้ว ที่ดินของโจทก์ทั้งแปดถูกสร้างเป็นทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกช่วงถนนนางลิ้นจี่ถึงถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว มิใช่ถูกสร้างเป็นทางด่วนพิเศษสายดาวคะนอง-ท่าเรือ ที่ดินของโจทก์ทั้งแปดจึงมิได้ถูกเวนคืนโดยพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษสายดาวคะนอง-ท่าเรือ แม้จำเลยที่ 1มิได้เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม แต่คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกให้แก่จำเลยที่ 1 และต่อมาอนุมัติให้ทางการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการสำรวจออกแบบและก่อสร้างถนนรัชดาภิเษกช่วงถนนนางลิ้นจี่ถึงถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจำเลยที่ 1เป็นผู้ตั้งงบประมาณ ความรับผิดชอบในการดำเนินการก่อสร้างถนนเทศบาลสายรัชดาภิเษก ช่วงถนนนางลิ้นจี่ถึงถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ยังคงเป็นของจำเลยที่ 1 และเห็นว่าตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 64 ได้กำหนดเงื่อนไขในการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืนต้องระบุ (1) ความประสงค์ของการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (2) เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (3) ท้องที่ที่จะเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ – แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524 ข้อ 4 ให้จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกานี้ก็คือเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 64(2) นั่นเอง และมีหน้าที่จ่ายค่าทดแทนตามข้อ 67 และข้อ 74 ถึงข้อ 77 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทเมื่อโจทก์ทั้งแปดเห็นว่าเงินค่าทดแทนที่ดินที่จำเลยทั้งสองกำหนดยังไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดได้
ส่วนปัญหาว่าค่าทดแทนที่ดินที่ศาลอุทธรณ์กำหนดตลอดจนวันเริ่มต้นให้ชำระดอกเบี้ยชอบหรือไม่ เห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ทั้งแปดชอบแล้ว ส่วนจำเลยทั้งสองจะต้องชำระดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันใดนั้น ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295ข้อ 67 วรรคสอง ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงใช้บังคับในกรณีนี้คือวันที่ 20 ธันวาคม 2524เป็นต้นไป ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสองใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งแปดนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 นำเงินค่าทดแทนไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีอันเป็นเวลาหลังจากพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524ใช้บังคับเกือบ 4 ปี นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองอยู่แล้ว
พิพากษายืน

Share