คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1237/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้างโจทก์มิใช่ผู้สั่งซื้อสินค้ารายพิพาทและทราบอยู่แล้วว่าบริษัทผู้ขายส่งของมาโดยลงชื่อผู้รับผิดเป็นห้างโจทก์ แท้จริงเจ้าของสินค้าคือจำเลยที่ 2 แต่โจทก์ก็ยังรับใบอินวอยส์ ตั๋วแลกเงิน และใบตราส่งจากธนาคาร ถือได้ว่าโจทก์รับเอกสารต่างๆ ดังกล่าวไว้โดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ที่จะได้รับความคุ้มครองหรือรับประโยชน์จากบทกฎหมายมาตรา 614,615 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์สั่งซื้อสินค้าจำพวกเก้าอี้อะลูมิเนี่ยมจำนวน 48 หีบจากบริษัทเอนเดิสลีโปรดั๊กชั่น จำกัด เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย บริษัทเอนเดิสลีโปรดั๊กชั่น จำกัด ให้บริษัทเบรียนค๊อกอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้จัดส่งสินค้าลงบรรทุกเรือชื่อโบรรีฟเวอร์ ของบริษัทเซ้าเทอร์นชิปปิ้งไลน์ จำกัด เพื่อทำการขนส่งมามอบให้โจทก์ที่ท่าเรือกรุงเทพฯ ประเทศไทย ตามใบตราส่งซึ่งมีข้อความระบุชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นผู้รับตราส่งแต่ผู้เดียว บริษัทเอนเดิสลีโปรดั๊กชั่น จำกัด จึงออกตั๋วแลกเงินพร้อมกับส่งมอบใบตราส่งและเอกสารที่เกี่ยวข้องมาเก็บเงินค่าสินค้าดังกล่าว โดยผ่านทางธนาคารกรุงเทพ จำกัด โจทก์ได้ชำระเงินให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ไปแล้ว ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ได้สลักหลังใบตราส่งให้แก่โจทก์ โจทก์นำใบตราส่งไปขอรับสินค้าจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้รับขน จำเลยที่ 1 มีคำสั่งไปยังการท่าเรือแห่งประเทศไทยผู้เก็บรักษาสินค้าให้ส่งมอบสินค้าแก่โจทก์ แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยมอบสินค้าของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 ไป ทั้งที่จำเลยที่ 2 มิใช่ผู้รับตราส่ง ทำให้โจทก์รับสินค้าไม่ได้ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน 62,589.07 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยเป็นเพียงเอเย่นต์จัดหาสินค้าบรรทุกเรือเท่านั้น เดิมจำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งให้มอบสินค้าให้โจทก์จริง ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งจากผู้จัดส่งสินค้าบรรทุกเรือให้ส่งมอบสินค้าให้จำเลยที่ 2 ไม่ให้ส่งมอบแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติตามคำสั่ง จำเลยที่ 1 หาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวไม่ บริษัทเบรียนค๊อกอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้สั่งถอนคืนใบตราส่งที่ระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับแล้ว

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่าโจทก์ไม่ได้สั่งซื้อสินค้าจำพวกเก้าอี้อะลูมิเนียมจำนวน 48 หีบ จากบริษัทเอนเดิสลีโปรดั๊กชั่น จำกัด ประเทศออกสเตรเลียดังกล่าวในฟ้อง ความจริงจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าจำพวกเก้าอี้อะลูมิเนี่ยมหล่อจำนวน 61 ชิ้น จากบริษัทเอนเดิสลีโปรดั๊กชั่นพีทีวาย จำกัด โดยสั่งผ่านห้างหุ้นส่วนจำกัด ช่วงพงศ์พันธ์ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทผู้ผลิต สินค้าที่จำเลยที่ 2รับไปทั้งหมดนั้น บริษัทเอนเดิสลีโปรดั๊กชั่นพีทีวาย จำกัด เจตนาส่งให้จำเลยที่ 2โดยเฉพาะ แต่จะเกิดการผิดพลาดสำคัญผิดในการปฏิบัติเพราะใครจำเลยทั้งสองไม่ทราบ โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริตและไม่เสียหายดังฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อทรัพย์พิพาท จำเลยที่ 1 ส่งมอบทรัพย์พิพาทโดยชอบ พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า สินค้ารายพิพาทนี้จำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งซื้อจากบริษัทเอนเดิสลีโปรดั๊กชั่น จำกัด โดยผ่านทางห้างหุ้นส่วนจำกัดช่วงพงศ์พันธ์

วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้ ข้อเท็จจริงได้ความตามคำของนายพิเชียร ช่วงพงศ์พันธ์ ว่าโจทก์ทราบว่าบริษัทเอนเดิสลีโปรดั๊กชั่น จำกัดส่งของผิดเจ้าของ โจทก์โดยนายพิชัย จารุแสงฤทธิ์ เคยถามนายพิเชียรช่วงพงศ์พันธ์ ว่ามีสินค้าเฟอร์นิเจอร์อะลูมิเนี่ยมหล่อ ส่งมาจากออสเตรเลียบ้างหรือไม่ นายพิเชียร ช่วงพงษ์พันธ์ ตอบว่ามีสินค้าส่งมาแต่ลงชื่อผู้รับผิด หากโจทก์ได้รับเอกสารก็อย่างเพิ่งไปออกของรายนี้ (สินค้ารายพิพาท) นายพิชัยจารุแสงฤทธิ์ พยานโจทก์ก็เบิกความรับว่าโจทก์เคยรับหนังสือจากผู้ขาย (บริษัทเอนเดิสลีโปรดั๊กชั่น จำกัด) ว่าเจ้าของสินค้าคือจำเลยที่ 2 ไม่ใช่ห้างโจทก์ดังนั้น เอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับสินค้ารายพิพาทที่โจทก์ได้รับจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด ใบอินวอยส์ ตั๋วแลกเงิน ใบตราส่งนั้น แสดงว่าโจทก์รับไว้โดยรู้แล้วว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้สั่งซื้อสินค้ารายพิพาท โจทก์รับเอกสารต่าง ๆ ดังกล่าวไว้โดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ที่จะได้รับความคุ้มครองหรือรับประโยชน์จากบทกฎหมายที่บัญญัติไว้ในมาตรา 614,615 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่โจทก์ฎีกาอ้างมา

พิพากษายืน

Share