แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ โจทก์เป็นผู้ถือเช็คพิพาทไว้ใน ครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 904 เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยผู้ลงลายมือชื่อในเช็คจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คตามมาตรา 900
เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือย่อมโอนกันได้เพียงส่งมอบเช็คให้แก่กันผู้ถือเช็คไว้ในครอบครองก็เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 แล้ว และแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่ารับเช็คพิพาทมาจากจำเลย แต่โจทก์นำสืบว่ารับ เช็คพิพาทมาจาก อ. ก็ไม่ทำให้คดีของโจทก์รับฟังไม่ได้ เพราะแม้ โจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าโจทก์รับเช็คพิพาทมาอย่างไร ก็ไม่ทำให้สิทธิ ของโจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คโดยชอบเสียไป
โจทก์รับเช็คพิพาทมาโดยมิได้ให้ อ. ผู้โอนสลักหลังก็เนื่องจากเช็คพิพาทเป็นเช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ซึ่งย่อมโอนไปเพียงส่งมอบให้แก่กัน การที่ อ. จะไม่ได้ลงชื่อสลักหลังเช็คพิพาทหรือไม่ได้เข้า เบิกความเป็นพยานโจทก์ โดยจำเลยไม่ได้นำสืบถึงเหตุแห่งความไม่สุจริต ของโจทก์ดังกล่าวนั้น ยังไม่พอฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยไม่สุจริต
โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือซึ่งสามารถโอนกันได้เพียงส่งมอบเช็คพิพาทเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่ามีประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยว่าการโอน เช็คพิพาทดังกล่าวมีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล ดังนั้นหนี้ระหว่างจำเลยกับ อ. จะเป็นหนี้อะไรย่อมไม่เป็นสาระในการวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนมกราคม 2539 จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาอู่ทอง ลงวันที่ 29 มกราคม 2539 จำนวนเงิน65,000 บาท ส่งมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนดชำระโจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า “มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงิน” เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์2539 ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 69,062.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 65,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยรู้จักกับโจทก์มาก่อน จำเลยไม่เคยสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เช็คพิพาทจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายจริงแต่ไม่ได้ส่งมอบให้แก่โจทก์ จำเลยเก็บเช็คพิพาทไว้ในรถยนต์ปรากฏว่า เช็คฉบับดังกล่าวหายไป จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่สถานีตำรวจและแจ้งอายัดเช็คไว้กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาอู่ทอง โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง และไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 65,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาอู่ทอง ลงวันที่ 29มกราคม 2539 จำนวนเงิน 65,000 บาท เมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนดการใช้เงิน โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539 แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทดังกล่าวให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือโจทก์เป็นผู้ถือเช็คพิพาทไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยผู้ลงลายมือชื่อในเช็คจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 900 ส่วนที่จำเลยนำสืบต่อสู้คดีว่าเช็คพิพาทสูญหายไปขณะเก็บไว้ในลิ้นชักหน้ารถยนต์ขณะนำรถยนต์ไปจอดที่บริเวณตลาดอำเภออู่ทองจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2539 นั้น จำเลยก็มิได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและขออายัดเช็คพิพาทไว้โดยทันทีในวันนั้น กลับได้ความว่าจำเลยเพิ่งจะไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและขออายัดเช็คพิพาทที่ธนาคารในวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดการใช้เงินวันที่ 29มกราคม 2539 ทั้ง ๆ ที่วันเกิดเหตุที่จำเลยอ้างว่าเช็คพิพาทสูญหายไปนั้นจำเลยอยู่ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี อันเป็นที่ตั้งของธนาคารตามเช็คพิพาทอยู่แล้ว จำเลยน่าจะแจ้งความและขออายัดเช็คเสียเลยในวันเกิดเหตุเพราะนอกจากเช็คพิพาทจะสูญหายไปแล้วยังมีเช็คอีกฉบับหนึ่งตามที่จำเลยอ้างซึ่งถึงกำหนดการใช้เงินแล้วสูญหายไปในคราวเดียวกันนั้นด้วย เพื่อธนาคารจะได้ระงับการจ่ายเงินตามเช็คที่ถึงกำหนดดังกล่าวได้ทันทีจำเลยจะได้ไม่เสียหาย แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่หมู่ที่ 3ตำบลหนองโสน อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ตำบลเดียวกันกับภูมิลำเนาของโจทก์และคนละจังหวัดกับที่เกิดเหตุที่อ้างว่าเช็คหายกลับเพิ่งแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและขออายัดเช็คที่หายเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2539 ตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 อันเป็นพิรุธและเมื่อพิจารณาคำเบิกความของนายวิชัย การสุจริตสมุห์บัญชีธนาคารตามเช็คพิพาทพยานโจทก์ประกอบรายการบัญชีกระแสรายวันของจำเลยตามเอกสารหมาย ป.จ.3 (ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี) ปรากฏว่าก่อนวันที่ 29มกราคม 2539 ซึ่งเป็นวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดการใช้เงินจำเลยไม่มีเงินอยู่ในบัญชีโดยในวันที่ 29 มกราคม 2539 นั้นเอง จำเลยนำเงินเข้าบัญชีเท่ากับจำนวนเงินตามเช็คพิพาทคือ 65,000 บาท แล้วจำเลยก็สั่งอายัดเช็คพิพาทต่อธนาคาร ครั้นวันรุ่งขึ้นจำเลยก็ถอนเงินออกจากบัญชีจำนวน50,000 บาท วันถัดไปจำเลยก็ถอนเงินออกจากบัญชีอีก 15,000 บาทจนไม่มีเงินอยู่ในบัญชีของจำเลยเลย เสมือนเป็นการเตรียมการล่วงหน้าโดยการนำเงินเข้าบัญชีในวันเช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงินเพื่อเป็นหลักฐานในการต่อสู้ว่ามีเงินในบัญชีพอจะจ่ายตามเช็คพิพาทได้และขออายัดเช็คพิพาทในวันนั้นแล้วก็ถอนเงินออกจากบัญชีหมดในสองวันต่อมา เจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ที่ว่านางอนงค์นำเช็คพิพาทมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ซึ่งจำเลยก็ทราบว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค ก่อนเช็คถึงกำหนดใช้เงินนางอนงค์แจ้งให้โจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539เพราะจำเลยนำเงินเข้าบัญชีไม่ทัน ครั้นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539 โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่า มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่าเช็คหาย ตามเอกสารหมาย ป.จ.1และ ป.จ.2 (ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี) ดังนี้ข้อนำสืบอันเป็นพิรุธของจำเลยดังกล่าวไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ซึ่งได้รับประโยชน์จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 และมาตรา 904 ที่บัญญัติรับรองดังวินิจฉัยมาแล้วได้ที่จำเลยฎีกาว่า ตามฟ้องของโจทก์อ้างว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ แต่โจทก์กลับนำสืบว่าโจทก์รับเช็คพิพาทมาจากนางอนงค์ซึ่งนำมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ จึงเป็นการนำสืบนอกคำฟ้องและนอกประเด็นจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือย่อมโอนกันได้เพียงส่งมอบเช็คให้แก่กันเท่านั้น ผู้ถือเช็คไว้ในครอบครองก็เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 แล้ว และแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่ารับเช็คพิพาทมาจากจำเลยแต่นำสืบว่าโจทก์รับเช็คพิพาทมาจากนางอนงค์ก็ไม่ทำให้คดีของโจทก์รับฟังไม่ได้ เพราะแม้โจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าโจทก์รับเช็คพิพาทมาอย่างไร ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คโดยชอบเสียไป ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้นำนางอนงค์ผู้แลกเช็คพิพาทมาเบิกความและเช็คพิพาทไม่มีลายมือชื่อนางอนงค์สลักหลังจึงทำให้เห็นว่าโจทก์ครอบครองเช็คพิพาทโดยไม่สุจริตนั้น การที่โจทก์รับเช็คพิพาทมาโดยมิได้ให้นางอนงค์ผู้โอนสลักหลังก็เนื่องจากเช็คพิพาทเป็นเช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ซึ่งย่อมโอนไปเพียงส่งมอบให้แก่กัน ดังนั้นการที่นางอนงค์จะไม่ได้ลงชื่อสลักหลังเช็คพิพาทหรือไม่ได้เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์โดยจำเลยไม่ได้นำสืบถึงเหตุแห่งความไม่สุจริตของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่อาจฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยไม่สุจริตดังจำเลยฎีกาได้
ส่วนฎีกาประการสุดท้ายของจำเลยที่ว่า โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่าโจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยกับนางอนงค์จะเป็นหนี้กันเรื่องอะไรทั้ง ๆ ที่ตอบคำซักถามของทนายโจทก์ว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อขายที่ดินกับนางอนงค์ เป็นการเบิกความกลับไปกลับมาไม่น่าเชื่อว่าโจทก์รับเช็คโดยนางอนงค์นำมาแลกเงินสดนั้น เห็นว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือซึ่งสามารถโอนกันได้เพียงส่งมอบเช็คพิพาทเท่านั้นเมื่อไม่ปรากฏว่ามีประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยว่าการโอนเช็คพิพาทดังกล่าวมีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล ดังนั้นหนี้ระหว่างจำเลยกับนางอนงค์จะเป็นหนี้อะไรกันนั้นย่อมไม่เป็นสาระในการวินิจฉัยคดีนี้”
พิพากษายืน