แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทำหนังสือสัญญาตกลงกันว่า โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดินฐานแจ้งความเท็จ ปลอมหนังสือ จำเลยยอมไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท ดังนี้ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน เป็นโมฆะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายฉิม อาของโจทก์และนางเหละภรรยา มีกรรมสิทธิ์ที่นาโฉนดที่ 3448 เนื้อที่ 10 ไร่เศษ ตำบลวังน้ำซับ อำเภอ ศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ราคา 4,000 บาท เมื่อประมาณ 20 ปีเศษ นางเหละภรรยาตาย นายฉิมสามีรับมรดกปกครองมา เมื่อประมาณ 6 ปีมานี้ นายฉิมตาย ก่อนตายนายฉิมได้พูดยกที่ให้โจทก์ผู้เป็นหลานตั้งแต่วันที่ตาย โจทก์เป็นทายาทผู้รับมรดก ต่อมาเมื่อต้นปี 2493โจทก์จะจัดการขอรับมรดก จึงทราบว่านายเท้ นางหงวนจำเลยได้ไปแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรีว่า นายฉิมตายเมื่อประมาณ 14 ปี นางเหละตายเมื่อประมาณ 7 ปี ขอรับมรดกที่นาของนายฉิมโจทก์ได้ฟ้องนายเท้ นางหงวนจำเลยฐานแจ้งความเท็จและปลอมหนังสือต่อศาล นายเท้ นางหงวน จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาสละสิทธิที่ดินที่กล่าวแล้วให้แก่โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และไม่เกี่ยวข้องอีกต่อไปตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้องเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2493 โจทก์ได้ขอประกาศรับมรดกที่ดิน รุ่งขึ้นวันที่ 16 เดือนเดียวกันนายเกี้ยมจำเลยได้สมคบกับจำเลยอีกสองคน มาร้องคัดค้านการขอรับมรดก อ้างว่านายฉิมได้ทำหนังสือยกที่ดินให้แก่นางโค๊ะมารดา ความจริงนายฉิมหาได้ทำหนังสือยกให้แก่มารดาจำเลยไม่ นายเท้ นางหงวนจำเลยได้บุกรุกเข้าทำนา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายประมาณ 2,000 บาทขอให้พิพากษาให้โจทก์เป็นผู้รับมรดกที่นาและขับไล่จำเลยมิให้เกี่ยวข้องต่อไป และให้ใช้ค่าเสียหาย 2,000 บาท
จำเลยทั้งสามแก้ว่าเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2476 นายฉิมได้ทำหนังสือยกกรรมสิทธิ์ที่นารายนี้ให้แก่นางโค๊ะมารดาจำเลย โดยมีค่าตอบแทน นางโค๊ะและจำเลยทุกคนได้ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี เมื่อประมาณ 7 ปีมานี้ นางโค๊ะตาย จำเลยทุกคนได้ครอบครองสืบมาจนบัดนี้ ที่นารายนี้มิใช่เป็นมรดกของนายฉิมอันจะตกทอดได้แก่โจทก์ไม่ โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองหรือแสดงตนเป็นเจ้าของ การที่โจทก์ฟ้องหาว่านายเท้ นางหงวนจำเลยแจ้งความเท็จและปลอมหนังสือ นายเท้ นางหงวนจำเลยมีความกลัวจะถูกลงโทษจึงจำต้องยอมทำหนังสือสัญญาท้ายฟ้องให้โจทก์ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ว่า โจทก์ยอมถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดินโดยให้จำเลยสละกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นโมฆะ เพราะเป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดีได้ความว่านายฉิมมีที่ดินอยู่แปลงเดียวคือที่พิพาท มีโฉนดแล้ว ในโฉนดมีชื่อนางเหละนายฉิมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ นางเหละตายก่อนนายฉิม นายฉิมได้มอบที่ดินให้นางโค๊ะมารดาจำเลยเข้าทำนาเก็บผลประโยชน์มาเป็นเวลากว่า 20 ปี แต่การเข้าทำนานี้ คู่ความต่างโต้เถียงกัน ฝ่ายจำเลยว่านายฉิมขายให้นางโค๊ะมารดาจำเลย ฝ่ายโจทก์ว่าไม่ได้ขาย ได้จำนำนางโค๊ะไว้ และโจทก์อ้างสัญญายอมที่จำเลยทำให้ไว้เป็นข้อตัดกรรมสิทธิ์ ความปรากฏจากความเป็นมาที่จะทำให้เกิดสัญญายอมขึ้นโดยจำเลยถูกฟ้องคดีอาญาทนายฝ่ายจำเลยแนะนำให้ยอมในคดีอาญาเพื่อต่อสู้ในคดีแพ่ง ความปรากฏตามสัญญาข้อ 1 ว่า โจทก์ได้ถอนฟ้องคดีอาญา ฝ่ายจำเลยยอมไม่เกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทต่อไป เป็นสัญญาที่มีเจตจำนงบีบบังคับคู่สัญญาให้ยินยอมปฏิบัติตาม มิใช่เกิดขึ้นโดยสมัครใจอย่างลักษณะสัญญาธรรมดา จึงเป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ฝ่ายจำเลยมีพยานหลายปากเช่น นายพาณิชย์ นางเภา นางกลวย นางห้อย ให้การยืนยันว่าเมื่อนางเหละตายแล้ว นายฉิมไปบวชแล้วได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่นางโค๊ะโดยทำหนังสือมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ไว้เป็นหลักฐานตั้งแต่ พ.ศ.2476 เป็นเวลาร่วม 20 ปีมาแล้ว แม้ขุนพำนักพยานจำเลยจะให้การเป็นทำนองไม่ยืนยันลายเซ็นของพยานก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ลายเซ็นแล้ว มีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกันมาก รูปกรณีน่าจะเป็นจริงอย่างที่จำเลยนำสืบว่านายฉิมได้ขายและมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่นางโค๊ะแล้ว นายฉิมจึงได้เพิกเฉยปล่อยปละละเลยเป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่พิพาทย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่นางโค๊ะโดยการครอบครอง เมื่อที่ดินพิพาทมิใช่เป็นของนายฉิมโจทก์จึงไม่มีสิทธิจะขอให้แสดงว่าโจทก์เป็นผู้รับมรดกในที่ดิน พิพากษายกฟ้องให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนาย 200 บาท แทนจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานจำเลยให้การสมเหตุผลน่าเชื่อนาพิพาทก็อยู่ในความครอบครองของฝ่ายจำเลยเอกสารที่นายฉิมทำให้ไว้ก็เป็นพยานประกอบเจือสมพยานบุคคล ฝ่ายโจทก์นำสืบอะไรไม่ได้เป็นล่ำเป็นสันและเลื่อนลอย จึงเชื่อข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบการที่นายเท้ นางหงวนจำเลยทำหนังสือให้โจทก์ ก็ได้ความชัดว่าเพื่อแลกกับการที่โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาศาลอุทธรณ์เห็นชอบตามข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113 เพราะเป็นการระงับคดีอาญาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาได้ฟังคำแถลงและประชุมพิจารณาแล้ว ข้อแรกเห็นว่าการที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีอาญาฐานแจ้งความเท็จและปลอมหนังสือตามคดีแดงที่ 655/2493 นั้น เป็นความอาญาแผ่นดินอันเกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่คู่ความคือ โจทก์และนายเท้นางหงวน จำเลยในคดีนี้ทำหนังสือยอมความกัน โดยฝ่ายจำเลยรับรองว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาทรายนี้ แล้วฝ่ายโจทก์ขอถอนฟ้องคดีไปนั้นเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1181/2491 ระหว่างนางแมว เครือหอม ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม นายฉายกับพวก โจทก์ นายจ้อน เครือหอม จำเลย ส่วนข้อเท็จจริงก็น่าเชื่อตามที่ศาลทั้งสองได้วินิจฉัยมา กล่าวคือจำเลยมีเอกสารแสดงว่า นายฉิมเจ้าของที่พิพาทเดิมได้ทำหนังสือยกที่พิพาทให้แก่นางโค๊ะมารดาจำเลยตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2476 และมีพยานบุคคลมาสืบประกอบว่านายฉิมได้ขายที่พิพาทให้แก่นางโค๊ะมารดา นางโค๊ะได้ครอบครองทำนามากับจำเลย แล้วได้เอาไปจำนำนางแก้วไว้ แล้วจำเลยได้ไปไถ่มาจากนางแก้ว และได้ครอบครองทำนามาจนบัดนี้แม้จะปรากฏตามคำขุนพำนักพลแสน พยานจำเลย ไม่รับรองลายเซ็นชื่อในหนังสือ ว่าจะเป็นลายเซ็นชื่อของพยานว่าใช่หรือไม่ จำไม่ได้ก็ดี แต่ขุนพำนักพลแสนก็มิได้ปฏิเสธว่ามิใช่ลายเซ็นของพยานขุนพำนักพลแสนพยานผู้นี้ปรากฏว่าได้รับหมายเรียกเป็นพยานแล้วไม่มาศาล ฝ่ายจำเลยขอให้ศาลหมายจับมาเป็นพยาน อาจเป็นเพราะเหตุนี้เอง ขุนพำนักพลแสนพยานจึงไม่เต็มใจให้การ และเบี่ยงบ่ายว่าจะใช่ลายเซ็นของตนหรือมิใช่ไม่ทราบ พิเคราะห์ลายเซ็นของขุนพำนักพลแสน กับลายเซ็นในเอกสารก็ละม้ายคล้ายคลึงกันมาก ประกอบกับจำเลยมีพยานประกอบว่านายฉิมได้ทำหนังสือมอบที่ดินให้แก่ฝ่ายจำเลย และได้ครอบครองมาช้านานเกินกว่า 10 ปีแล้ว ที่พิพาทเป็นของฝ่ายจำเลยโดยการครอบครอง หาใช่เป็นของนายฉิมต่อไปไม่ ศาลทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกฎีกา พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายชั้นฎีกาแทนจำเลยอีก 100 บาท