คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1235/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อระบุว่า ในกรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายผู้เช่าซื้อจะต้องชำระค่าเช่าซื้อทั้งสิ้นจนครบ หมายความว่าผู้เช่าซื้อจะต้องชำระราคารถยนต์ที่เช่าซื้อที่ยังไม่ได้ชำระตามสัญญาจนครบ เพราะมิได้ระบุให้ผู้เช่าซื้อผ่อนชำระเป็นงวด ๆดังกรณีที่ทรัพย์ที่เช่าซื้อไม่สูญหาย และข้อตกลงดังกล่าวไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567 หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ จำนวน 1 คัน ไปจากโจทก์ในราคา 245,400 บาท จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อล่วงหน้า35,000 บาท ส่วนที่เหลือชำระเป็น 48 งวด งวดละ 4,400 บาทต่อเดือนงวดสุดท้ายชำระ 3,600 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 2 ตุลาคม 2527งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 2 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบ จำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหลังจากทำสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ในงวดที่ 26ซึ่งจะต้องชำระในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2529 เพียง 2,500 บาทยังขาดอยู่ 1,900 บาท จากนั้นจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 27 มีนาคม 2530 จำเลยที่ 1 ได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสอบสวนอำเภอวังน้อยว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไป ซึ่งตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อข้อ 5ได้ตกลงกันไว้ว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอยู่เป็นเงิน 97,900 บาท ให้แก่โจทก์จนครบ จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 97,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์โดยมีเงื่อนไขการชำระค่าเช่าซื้อ และชำระค่าเช่าซื้อบางส่วนตามฟ้องจริง ต่อมาวันที่ 26 มีนาคม 2530 รถยนต์ที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไปโดยจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองดูแลและเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัยตามปกติด้วยความระมัดระวังเสมอกับวิญญูชนพึงสงวนรักษาทรัพย์สินของตนเอง สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่ งวดที่รถยนต์สูญหายคงรับผิดเฉพาะค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระในงวดที่ 26 จนถึงงวดที่ 30รวมเป็นเงิน 19,500 บาท เท่านั้น ขอให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่นอกเหนือจากเงินจำนวนดังกล่าว
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน79,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมนายบุญลือ แตงเผือก ทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน79,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่ งวดที่ 26 โดยชำระค่าเช่าซื้องวดนี้ให้แก่โจทก์เพียง 2,500 บาท ยังขาดอยู่อีก 1,900 บาทและคงค้างชำระค่าเช่าซื้อเป็นเงินทั้งสิ้น 97,900 บาท รถยนต์ที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไปเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2530 ในกรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไป มีข้อตกลงกันไว้ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 5 ว่า “ถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกโจรภัย..ผู้เช่าซื้อยอมรับผิดฝ่ายเดียว…และยอมชำระเงินค่าเช่าซื้อทั้งสิ้นจนครบ ฯลฯ”โจทก์ทราบว่ารถยนต์คันดังกล่าวสูญหายก็ได้ให้ทนายความมีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างจำนวน 97,900 บาทแก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยทั้งสองในปัญหาเรื่องข้อตกลงตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 5 ที่ให้จำเลยที่ 1ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระหลังจากที่รถยนต์ที่เช่าซื้อถูกโจรภัยหรือสูญหายว่าเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567 และมาตรา 113 เก่า มาตรา 150ใหม่หรือไม่นั้นเป็นการวินิจฉัยโดยชอบหรือไม่ พิเคราะห์แล้วแม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าข้อตกลงตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 5 ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนมาก็ตาม แต่ปัญหานี้จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การแต่อย่างใดจึงไม่มีประเด็นในปัญหานี้ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมานั้นเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น กรณีถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรก เว้นแต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสองเท่านั้น เห็นว่าแม้สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ประเภทหนึ่ง เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายสัญญาเช่าซื้อย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567และจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระต่อไปก็ตาม แต่ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 5 ระบุให้จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อชำระเงินค่าเช่าซื้อทั้งสิ้นจนครบในกรณีที่ทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกโจรภัยหรือสูญหายนั้น แม้จะระบุข้อความว่าเงินค่าเช่าซื้อไว้ก็ตามแต่ก็มิได้ระบุให้ผู้เช่าซื้อผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ดังกรณีที่ทรัพย์สินที่เช่าซื้อไม่ถูกโจรภัยหรือไม่สูญหาย ด้วยเหตุนี้ความหมายของคำว่า “ยอมชำระเงินค่าเช่าซื้อทั้งสิ้นจนครบ”จึงมีเพียงว่าผู้เช่าซื้อจะต้องชำระราคารถยนต์ที่เช่าซื้อจนครบตามที่ระบุไว้ในสัญญาเท่านั้น กรณีดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ 1ได้ตกลงชำระค่าเสียหายที่รถยนต์ถูกโจรภัย หรือสูญหายให้แก่โจทก์เท่ากับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระไว้ด้วย ข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567 หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 เก่า มาตรา 150 ใหม่ แต่อย่างใดกรณีตามปัญหาในชั้นอุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านั้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share