คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2531 ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหมายเรียกไปยังจำเลยทั้งสองเพื่อให้ไปให้การเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สิน โดยปิดหมายดังกล่าวที่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ที่ 2เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2531 และวันที่ 21 กรกฎาคม 2531 ตามลำดับในหมายเรียกระบุชัดว่า จำเลยทั้งสองถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดถือได้ว่าเป็นการส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยทั้งสองในวันดังกล่าวโดยชอบแล้ว จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2531 เกินกำหนด 15 วันล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ย่อมไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายจำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นจึงสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2531
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างว่า จำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกฟ้อง ไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องคดีนี้จำเลยทั้งสองมีทางชนะคดีโจทก์ได้ โดยจำเลยทั้งสองยังประกอบอาชีพทำงานเป็นหลักแหล่ง มีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้โจทก์ได้ไม่เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 16 มีนาคม2531 และต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหมายเรียกไปยังจำเลยทั้งสองเพื่อให้ไปให้การเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สิน โดยปิดหมายดังกล่าวเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2531 และวันที่ 21 กรกฎาคม 2531ที่ภูมิลำเนาตามฟ้องของโจทก์ ในหมายเรียกดังกล่าวเป็นการแจ้งระบุชัดว่าจำเลยทั้งสองถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและตามหนังสือเรื่องขอตรวจสอบหลักฐานทะเบียนและคัดสำเนาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปรากฏชัดว่าจำเลยทั้งสองยังคงมีภูมิลำเนาอยู่ตามที่โจทก์ฟ้อง ได้ความดังกล่าวเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 6 บัญญัติคำว่า “พิพากษา” หมายความถึงการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีโดยทำเป็นคำสั่ง และมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าวก็บัญญัติว่า “คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ให้ถือเสมือนว่า เป็นหมายของศาลให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ายึดดวงตราสมุดบัญชี และเอกสารของลูกหนี้ และบรรดาทรัพย์สินซึ่งอยู่ในความครอบครองของลูกหนี้หรือของผู้อื่นอันอาจแบ่งได้ในคดีล้มละลาย…ฯลฯ…” ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหมายเรียกโดยแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลให้จำเลยทั้งสองแล้วโดยการปิดหมายที่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อวันที่18 พฤษภาคม 2531 และเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2531 ตามลำดับกรณีถือได้ว่าเป็นการส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยทั้งสองโดยชอบแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ก็จะต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2531 และวันที่ 5 สิงหาคม 2531 ตามลำดับซึ่งเป็นวันที่การส่งหมายแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดให้แก่จำเลยทั้งสองมีผล แต่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2531 จึงเกินกำหนด 15 วัน ล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว และตามคำร้องขอของจำเลยทั้งสองก็ไม่มีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ประการใด จำเลยทั้งสองย่อมไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสองอีกต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้อง ขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share