คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1233/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การระบุไว้ในเอกสารที่ทำขึ้นว่าเป็นหนังสือพินัยกรรม และมีบุคคลหลายคนเซ็นเป็นพยานลุกนั่งและได้กล่าวถึงกิริยาอาการของผู้ทำเอกสารว่าเป็นปกติ เหล่านี้ เป็นไปตามแบบแห่งการทำพินัยกรรมโดยทั่ว ๆ ไป เมื่อฟังประกอบกันเจตนาของผู้ทำที่ปรากฏในเอกสารทั้งฉบับรวมกัน เห็นได้ว่าเป็นการกำหนดเผื่อตายแล้ว ก็ย่อมเข้าลักษณะเป็นพินัยกรรมตามกฎหมายโดยชอบ
ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้วัดโดยเจาอาวาสลงชื่อเป็นพยานในพินัยกรรมด้วยนั้น หาทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะไม่ เพราะวัดเป็นนิติบุคคล จึงย่อมเป็นอีกบุคคลหนึ่งต่างหากจากเจ้าอาวาส แม้เจ้าอาวาสจะเป็นผู้แทนของวัดและความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงปรากฎจากผู้แทนทั้งหลายของนิติบุคคลก็ดี ก็ไม่มีผลทางกฎหมายให้เจ้าอาวาสกับวัดรวมมาเป็นบุคคลคนเดียวกันได้ จึงไม่ถือว่าวัดเป็นพยานในพินัยกรรม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายเขียว ชิ้นในเมือง ทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนด ๗๖๕ พร้อมห้องแถว ๙ ห้องให้โจทก์ นายเขียวถึงแก่กรรมแล้ว แต่จำเลยขัดขวางการโอน จึงขอให้บังคับ
จำเลยให้การว่า เอกสารที่นายเขียวทำขึ้นไม่ใช่พินัยกรรม และเจ้าอาวาสลงชื่อในเอกสารดังกล่าวด้วย จึงเป็นโมฆะ และให้การต่อสู้ข้ออื่น ๆ อีกหลายประการ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าเอกสารที่โจทก์อ้างไม่มีลักษณะเป็นพินัยกรรม และเจ้าอาวาสผู้แทนของวัดบึงนั่งเป็นพยานในพินัยกรรม ย่อมถือเสมือนวัดบึงนั่งเป็นพยานในพินัยกรรมเอง จึงเป็นโมฆะไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เอกสารที่โจทก์อ้างไม่ใช่พินัยกรรม จึงไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เอกสารที่โจทก์อ้างมีความว่าดังนี้
หนังสือพินัยกรรม
ทำที่บ้านเลขที่ ๒๐๗๒
วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๔๙๕
ข้าพเจ้านายเขียว ชิ้นในเมือง อายุ ๘๓ ปี ตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ได้นิมนต์และเชิญพระสีหาราชมาจารมุนี วัดบึง พระอริยเวที วัดสุทธจินดา พระกิตติรามุนี พระครูศีลสารวิสุทธิ์ วัดพระนารายณ์มหาราช พระอาจารย์แถววัดสระแก้ว และนายตาด พรหมจรรยา นายดี สังกิตศิวรรณ นายแสง นันทวังกูณ นายสิงทอง ศิวารัตน์ มานั่งเป็นประธานในการที่ข้าพเจ้าจะทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติซึ่งเป็นส่วนของข้าพเจ้าถวายไว้กับวัดให้เป็นสมบัติของวัด ดังข้อความจะกล่าวต่อไปนี้
๑,๒,๓ ฯลฯ (คือ ถวายที่ดินทั้ง ๓ รายการนี้ให้แก่วัดพระนารายณ์มหาราช)
๔. ที่ดินอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ตามโฉนดที่ ๓๖๔ พร้อมด้วยห้องแถวเลขที่ ๕๘๔ ถึง ๕๙๒ รวม ๙ ห้อง ข้าพเจ้าขอถวายให้กับวัดบึง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา (ให้เป็นสมบัติของวัดบึง)
๕,๖. ฯลฯ (คือ ถวายที่ดินให้วัดสุทธิจินดา วัดสระแก้ว ตามลำดับ)
อนึ่ง ทรัพย์ดั่งกล่าวแล้วนี้ ถ้าขายได้ราคา ข้าพเจ้าก็จะขาย แบ่งเงินให้วัดบำรุงวัดครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งข้าพเจ้าจะเอาทำบุญ
ขอให้ท่านที่มานั่งเป็นประธาน จงเป็นพยานแห่งถ้อยคำของข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าได้เขียนชื่อลงลายมือชื่อให้ไว้เป็นสำคัญ
(ลงชื่อ) นายเขียว ชิ้นในเมือง ผู้ทำพินัยกรรม
ทันใด ผู้นั่งเป็นประธานและพยานได้สังเกตดูกิริยาอาการของนายเขียว ชิ้นในเมือง เห็นว่าไม่มีการเจ็บป่วยแต่อย่างใด มีสติเป็นปกติอยู่ และได้อ่านหนังสือพินัยกรรมนี้ให้ฟังถึง ๓ ครั้งรับว่าถูกต้อง จึงได้พร้อมกันลงชื่อไว้เป็นสำคัญ หนังสือพินัยกรรมทำเป็น ๑๐ ฉบับ ให้ผู้เป็นประธานและพยานที่ลงนามในหนังสือไว้คนละ ๑ ฉบับ ผู้ทำพินัยกรรมถือไว้ ๑ ฉบับ ข้อความอย่างเดียวกัน
(ลงชื่อ) พระสีหราชสมาจารมุนี ประธาน
(ลงชื่อ) ฯลฯ (คนอื่นอีก ๘ คน) พยาน
ศาลฎีกาพิเคราะห์เห็นว่า โดยรูปแห่งเอกสารนี้ โดยทั่วไปแสดงให้เห็นเจตนาของนายเขียวว่าเจตนาทำเป็นพินัยกรรมยกทรัพย์ตามระบุไว้ให้แก่วัดต่าง ๆ เพราะเหตุว่าการที่เอกสารนี้ใช้คำว่า “หนังสือพินัยกรรม” ก็ย่อมเป็นไปตามความเข้าใจของสามัญชนทั่วไปว่าเป็นหนังสือยกให้เมื่อตายแล้ว การยกทรัพย์ให้เมื่อยังมีชีวิตอยู่นั้น คนทั้งหลายย่อมไม่ใช้คำว่าพินัยกรรม นอกจากนี้ นายเขียวยังได้นิมนต์เชิญพระภิกษุสงฆ์ผู้ใหญ่และคหบดีที่นับถือมาเป็นพยานลุกนั่งตามแบบแผนแห่งการทำพินัยกรรมทั่ว ๆ ไปที่นิยมกันอยู่ และยังปรากฏในเอกสารว่าประธานและพยานสังเกตกิริยาอาการของนายเขียวเห็นว่ามีสติดี และอ่านให้ฟังถึง ๓ ครั้ง ทั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าเป็นไปตามแบบแห่งการนั่งพินัยกรรมโดยทั่ว ๆ ไป จึงเห็นว่า เมื่อเพ่งเล็งถึงเจตนาของนายเขียวตามข้อความในเอกสารประกอบกับรูปแห่งเอกสารนี้โดยทั่วไปดังกล่าวแล้ว แสดงว่านายเขียวเจตนาทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้วัดเมื่อตนตายแล้วแน่นอน หาใช่เจตนายกทรัพย์เหล่านี้ถวายวัดในขณะที่ทำหนังสือนี้ไม่ การกำหนดการเผื่อตายนั้น ผู้ทำพินัยกรรมไม่จำต้องระบุไว้ตามถ้อยคำนั้น ๆ โดยเฉพาะเจาะจงเสมอไป หากถ้อยคำและความหมายในเอกสารทั้งฉบับรวมกันแสดงให้เห็นชัดว่า เป็นการกำหนดการเผื่อตายแล้ว ก็ย่อมเข้าลักษณะตามบทกฎหมายนี้โดยชอบ จริงอยู่ เพียงใช้คำว่า “พินัยกรรม” อย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอ ในกรณีที่ความอื่นๆ ในเอกสารนั้นมุ่งแสดงไปทางอื่นโดยชัดแจ้ง เช่น เป็นการยกให้เมื่อยังมีชีวิตอยู่เป็นต้น แต่เอกสารในคดีนี้หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเนื้อความทั้งหมดแห่งเอกสารแสดงไปทางเดียวว่า นายเขียวเจตนาทำพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนไว้ ข้อความในเอกสารตอนท้ายที่ว่า “อนึ่ง ทรัพย์ดังกล่าวนี้ ถ้าขายได้ราคาข้าพเจ้าก็จะขายแบ่งเงินให้วัด บำรุงวัดครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งข้าพเจ้าจะเอาทำบุญ” ซึ่งศาลล่างทั้งสองแปลมาว่า เป็นการแสดงประกอบเจตนาว่าเป็นการยกให้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ นายเขียวจะเอาทรัพย์เหล่านี้มาขายได้อย่างไร การที่ขายได้ราคาก็จะขาย ย่อมแสดงว่าทรัพย์ทั้งหลายเหล่านี้เป็นของนายเขียวอยู่ตลอดไป จนนายเขียวตายจึงจะยกเป็นของวัด ฉะนั้น ข้อความนี้ยิ่งแสดงประกอบเจตนาให้เห็นชัดว่าายเขียวทำเอกสารนี้เป็นพินัยกรรม
ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อตัดฟ้องเรื่องผู้รับทรัพย์เป็นพยานในพินัยกรรมเสียด้วย ในข้อนี้ เมื่อปรากฏว่าวัดเป็นนิติบุคคล ก็ย่อมเป็นอีกบุคคลหนึ่งต่างหากจากเจ้าอาวาส แม้เจ้าอาวาสจะเป็นผู้แทนของวัดและความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงปรากฎจากผู้แทนทั้งหลายของนิติบุคคลก็ดี ก็หามีผลทางกฎหมายให้พระภิกษุเจ้าอาวาสกับวัดรวมมาเป็นบุคคลคนเดียวกันไม่ เมื่อเช่นนี้จะไปถือเสมือนหนึ่งว่าวัดบึงซึ่งเป็นผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมไปนั่งเป็นพยานในพินัยกรรมนั้นเองไม่ได้ บทบัญญัติมาตรา ๑๖๕๓ เป็นบทบัญญัติตัดสิทธิบุคคล จึงต้องแปลโดยเคร่งครัด และทรัพย์ตามพินัยกรรมนี้ จะตกเป็นของวัดบึงหรือไม่ ก็หามีผลกระทบกระเทือนถึงส่วนตัวเจ้าอาวาสไม่ อีกทั้งอาจเป็นได้ว่า เมื่อถึงเวลารับทรัพย์ตามพินัยกรรมเข้าจริง ๆ เจ้าอาวาสวัดบึงอาจเป็นผู้อื่นซึ่งมิใช่เจ้าอาวาสองค์ที่เป็นพยานในพินัยกรรมนี้ก็ได้ พินัยกรรมฉบับนี้จึงมิได้เป็นโมฆะเสียเปล่า
ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเสีย ให้ศาลขั้นต้นวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นต่อไป

Share