คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1232/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขอเลื่อนคดีในการนัดสืบพยานจำเลยมา 2 ครั้ง แล้วซึ่งศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีโดยกำชับให้จำเลยเตรียมพยานให้พร้อมสืบเมื่อถึงวันนัดทนายจำเลยก็ขอเลื่อนคดีอีก เมื่อไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้และจำเลยมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรมดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี จึงชอบแล้ว
นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและโจทก์นำพยานเข้าสืบในวันนัดแรกเพียงปากเดียว แล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไปการสืบพยานโจทก์จึงยังไม่เสร็จบริบูรณ์ในนัดต่อมาทนายจำเลยมาศาลและได้ถามค้านพยานโจทก์ที่มาเบิกความ เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จทนายจำเลยขอสืบพยานตัวจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตและนัดสืบพยานจำเลยต่อไป เช่นนี้ จำเลยนำพยานคือตัวจำเลยทั้งสองเข้าเบิกความได้เพราะจำเลยมาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบ และถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ขาดนัดพิจารณาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบภายหลังที่ตนมาศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสาม(2)(เดิม) ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153ดังนั้น ในวันนัดสืบพยานจำเลย เมื่อจำเลยขอเลื่อนคดีและศาลชั้นต้นเห็นว่าการขอเลื่อนคดีไม่มีเหตุสมควร ศาลชั้นต้นก็ต้องสั่งให้สืบตัวจำเลยในวันนั้น เพราะตัวจำเลยซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานจำเลยได้มาศาลศาลชั้นต้นจะถือว่าจำเลยไม่ได้เตรียมพยานมาพร้อมสืบตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลาย จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การ และไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์นัดแรกโดยทราบนัดโดยชอบแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา และสืบพยานโจทก์ไป แต่สืบพยานโจทก์ยังไม่เสร็จ โจทก์ขอเลื่อนไปสืบพยานต่อนัดหน้า ในวันที่เลื่อนมาสืบพยานโจทก์ต่อ ทนายจำเลยทั้งสองมาศาลและได้ถามค้านพยานโจทก์ที่นำมาสืบ เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว ทนายจำเลยทั้งสองก็ขอสืบพยานโดยขอสืบตัวจำเลยทั้งสองเพียง 2 ปาก ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้นัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 16 พฤษภาคม 2540 และ 16 มิถุนายน 2540แต่ฝ่ายจำเลยได้ขอเลื่อนคดีทั้งสองนัด โดยนัดแรกอ้างว่าตัวจำเลยที่ 1ป่วย นัดที่สองอ้างว่าทนายจำเลยทั้งสองป่วย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดีทั้งสองนัด แต่กำชับให้เตรียมพยานมาให้พร้อมสืบในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดที่สาม ถึงวันนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 6 สิงหาคม2540 ตัวจำเลยที่ 1 ทนายจำเลยทั้งสอง และทนายโจทก์มาศาลทนายจำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีอีกโดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 จะมีรายได้จากการเซ็นสัญญาก่อสร้าง ทนายโจทก์คัดค้านว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยเสนอเงื่อนไขการชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยโดยให้เหตุผลว่าฝ่ายจำเลยได้ขอเลื่อนคดีมา 2 นัด แล้ว และในนัดที่แล้วศาลได้กำชับให้จำเลยเตรียมพยานให้พร้อมสืบ ทั้งจำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะอ้างตัวเองเป็นพยานหรือสืบพยานอื่นของจำเลยทั้งสองและพิพากษาคดีไป

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดี และงดสืบพยานจำเลยทั้งสองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสองได้ขอเลื่อนคดีในการนัดสืบพยานจำเลย 2 ครั้ง แล้ว ซึ่งศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีโดยกำชับให้จำเลยทั้งสองเตรียมพยานให้พร้อมสืบ และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 6 สิงหาคม 2540 ทนายจำเลยทั้งสองก็ขอเลื่อนคดีอีกอ้างเหตุว่า จำเลยที่ 1 จะมีรายได้จากการเซ็นสัญญาก่อสร้างโดยทนายโจทก์ได้คัดค้านว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยเสนอเงื่อนไขการชำระหนี้แก่โจทก์ จึงเป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอย ทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้และจำเลยทั้งสองมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรมดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีชอบแล้ว

แต่การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยโดยให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าจำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะอ้างตนเองเป็นพยานหรือสืบพยานอื่นของจำเลยทั้งสองนั้นเห็นว่า คดีนี้นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยทั้งสองไม่มาศาล ศาลสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาและโจทก์นำพยานเข้าสืบในวันนัดแรกเพียงปากเดียว แล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไป การสืบพยานโจทก์จึงยังไม่เสร็จบริบูรณ์ ในนัดต่อมาทนายจำเลยทั้งสองมาศาลและได้ถามค้านพยานโจทก์ที่มาเบิกความ เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จทนายจำเลยทั้งสองขอสืบพยานตัวจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นก็ได้อนุญาตและนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป เช่นนี้ จำเลยทั้งสองนำพยานคือตัวจำเลยทั้งสองเข้าเบิกความได้เพราะมาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบ และถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสองที่ขาดนัดพิจารณาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบภายหลังที่ตนมาศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205วรรคสาม (2) ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153ดังนั้น ในวันนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 6 สิงหาคม 2540 เมื่อจำเลยขอเลื่อนคดี และศาลชั้นต้นเห็นว่าการขอเลื่อนคดีไม่มีเหตุสมควรจึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ศาลชั้นต้นก็ต้องสั่งให้สืบพยานจำเลยในวันนั้นเพราะตัวจำเลยที่ 1 ซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานของจำเลยทั้งสองได้มาศาลจะถือว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้เตรียมพยานมาพร้อมสืบตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้ไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยโดยอ้างเหตุผลดังกล่าวมาข้างต้นจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป และมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้นชอบแล้ว

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลชั้นต้นสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่

Share