คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1230/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 63 ให้อำนาจศาลที่จะทำการสอบสวนเรื่องผู้แทนนิติบุคคลจนเป็นที่พอใจได้
ผู้แทนนิติบุคคลมอบอำนาจให้ฟ้องความแล้ว แม้ผู้มอบอำนาจจะตายลง ก็ไม่ทำให้ใบมอบอำนาจในนามของนิติบุคคลนั้นเสียไป
สำเนาเอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง เมื่อจำเลยไม่ปฏิเสธ ต้องถือว่าจำเลยรับอยู่ในตัว โจทก์ไม่จำต้องส่งต้นฉบับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเบิกเงินเกินบัญชีในธนาคารของโจทก์ ชำระเงินที่เบิกเกินไปพร้อมทั้งดอกเบี้ย และขอให้บังคับให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 และ 3 ให้การร่วมกันว่า จำเลยที่ 1 แจ้งให้จำเลยที่ 2 และ 3 ทราบว่า หนี้สินรายนี้ได้ชำระเสร็จสิ้นแล้วการค้ำประกันจึงหมดข้อผูกพันไปแล้ว โจทก์ไม่เคยทวงถาม ถ้าหนี้มีอยู่จริง จำเลยก็ไม่ควรรับผิดเกินกว่า 50,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและจะคิดดอกเบี้ยเกิน 5 ปี ไม่ได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และจำเลยที่ 2 ให้การเพิ่มเติมว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้มอบไม่มีอำนาจ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง หนังสือมอบอำนาจสิ้นสภาพไปด้วยมรณกรรมของผู้มอบอำนาจ สัญญากู้หรือสัญญาค้ำประกันใช้ไม่ได้ เพราะทำโดยใช้ถ้อยคำลวงปกปิดอำพรางโดยไม่สุจริตเป็นโมฆะ จำเลยไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ยที่กู้เกินต้นเงิน 50,000 บาท

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า การคิดดอกเบี้ยเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีแล้วเอาดอกเบี้ยทบต้นทุกเดือน เมื่อคิดรวมตลอดปีแล้วดอกเบี้ยจะสูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปี เป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเป็นโมฆะ และจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้โจทก์เกินกว่า50,000 บาท จำเลยที่ 2 และ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นความรับผิด ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินโจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และ 3

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญาไม่เป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดเต็มจำนวนทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 ต้องรับผิดเพียง 50,000 บาท

จำเลยที่ 2, 3 ฎีกาอย่างอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วยกเว้นค่าธรรมเนียมบางส่วน ให้จำเลยที่ 2 ยกคำร้องขออนาถาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 มิได้นำค่าธรรมเนียมมาชำระ ศาลชั้นต้นจึงสั่งรับเฉพาะฎีกาจำเลยที่ 2 ไม่รับฎีกาจำเลยที่ 3

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจตามสำเนาท้ายฟ้องไม่ชอบ เพราะผู้มอบอำนาจตาย ใบมอบอำนาจจึงใช้ไม่ได้และโจทก์มิได้ส่งต้นฉบับนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 63 ให้อำนาจศาลที่จะทำการสอบสวนเรื่องผู้แทนนิติบุคคลจนเป็นที่พอใจได้ ศาลพิเคราะห์สำเนาใบมอบอำนาจประกอบคำพยานโจทก์แล้ว เชื่อว่ามีการมอบอำนาจให้ผู้แทนโจทก์อันเป็นนิติบุคคลมาฟ้องคดีนี้แทนจริง การที่ผู้มอบอำนาจตาย ไม่ทำให้ใบมอบอำนาจในนามของธนาคารโจทก์เสียไป ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญากู้เงินเกินบัญชีใช้คำว่า วิธีการและประเพณีของธนาคารนั้น จำเลยไม่เข้าใจ เป็นการปิดบังอำพราง ลวง ฉ้อฉลนั้น จำเลยแสร้งทำไม่เข้าใจ ที่จำเลยฎีกาว่าบัญชีเดินสะพัดตามสำเนาท้ายฟ้องโจทก์ไม่ได้ส่งต้นฉบับรับฟังไม่ได้นั้น บัญชีเดินสะพัดตามสำเนาท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องจำเลยไม่ปฏิเสธ จึงต้องถือว่าจำเลยรับ โจทก์ไม่จำต้องส่งต้นฉบับที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้เงินต้น 50,000 บาท แล้วนั้น บัญชีกระแสรายวันอันมีลักษณะเป็นบัญชีเดินสะพัดตามสำเนาท้ายฟ้องนั้น ย่อมมีการถอนเงินออกและนำเงินเข้าในลักษณะที่คิดหักหนี้กันเป็นประจำวัน จะถือเอารายการใดรายการหนึ่งเป็นหนี้เฉพาะรายตายตัวไม่ได้ ต้องคิดหักกลบลบหนี้กันเสียก่อน ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์เรียกร้องดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี จึงเป็นโมฆะนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดเฉพาะดอกเบี้ยตามต้นเงิน50,000 บาท เท่านั้น ไม่ต้องรับผิดไปใช้ถึงดอกเบี้ยที่โจทก์คิดมา และโจทก์ได้ทวงถามจำเลยแล้ว

พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share