คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1228/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเกี่ยวกับการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากกินรวบนั้น แม้ว่าฟ้องของโจทก์ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดโดยกว้างขวางมาก (บรรยายว่าระหว่างตั้งแต่เดือนใดไม่ปรากฏชัดในปี 2495 ถึงวันที่ 29 ต.ค.96) ก็ตามเมื่อสภาพความผิดชนิดที่ฟ้องนี้เป็นการที่ผู้กระทำได้กระทำอยู่เนืองๆ ตลอดมา ซึ่งโจทก์อาจจะไม่รู้ได้ว่าจำเลยได้กระทำแต่ละครั้งวันใดบ้าง แต่ก็คงกระทำในระหว่างวันเวลาตามที่กล่าวในฟ้องนั้นเอง และในฟ้องของโจทก์ยังได้ระบุวันที่เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยของกลาง (วันที่ 29 ต.ค.96) หลายอย่างซึ่งเกี่ยวกับการที่จำเลยจำหน่ายสลาก ดังนี้จำเลยก็ย่อมเข้าใจได้ดีว่าจำเลยถูกจับได้ของกลางในวันที่ 29 ต.ค.96 อันเป็นสิ่งที่แสดงว่าจำเลยได้กระทำผิดในระหว่างวันเวลาที่โจทก์กล่าวหานั้น ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องของโจทก์ในข้อกฎหมาย โดยยังไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นตาม กฎหมาย ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลฎีกาที่จะพิจารณาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่หรือจะพิจารณาพิพากษาให้เสร็จไปเสียทีเดียวก็ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่18/2498)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อระหว่างตั้งแต่เดือนใดไม่ปรากฏชัดในปี 2495 ถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2496 เวลากลางวันและกลางคืนโดยจำเลยทั้งสองกับพวกสมคบกันจัดให้มีการเล่นการพนันทำนองสลากกินแบ่งหรือสลากกินรวบโดยจำเลยขายเองบ้างให้ผู้อื่นขายบ้าง วันที่ 29 ตุลาคม 2496 เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยของกลาง ขอให้ลงโทษ

จำเลยที่ 1 ปฏิเสธต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ และตัดฟ้องว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 2 รับสารภาพ

ศาลจังหวัดอุบลฯ เห็นว่าฟ้องของโจทก์ได้บรรยายการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้ทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำผิดพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12 พระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 4)2495 มาตรา 3, 4 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 1,000 บาทปรานีแก่จำเลยที่ 2 ตามมาตรา 59 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 3 เดือนปรับ 500 บาท

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดในระหว่างเวลา3 ปี กับอีกเกือบ 10 เดือนเป็นการเหลือเกินที่จำเลยจะสืบต่อสู้ได้เป็นคำฟ้องที่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดไม่พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่เป็นฟ้องที่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และเมื่อเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่และเมื่อฟังว่าฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์แล้ว จำเลยที่ 2 ก็ย่อมไม่มีความผิดเช่นเดียวกัน เพราะการฟังว่าฟ้องไม่สมบูรณ์เป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ขึ้นมาศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยถึงได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้องปล่อยจำเลยทั้งสองไป

โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดโดยกว้างขวางมากอยู่ก็จริง แต่ว่าสภาพของความผิดที่โจทก์หานี้ย่อมเป็นการที่ผู้กระทำได้กระทำอยู่เนือง ๆตลอดมา ซึ่งโจทก์อาจจะไม่รู้ได้ว่าจำเลยได้กระทำแต่ละครั้งในวันใดบ้าง แต่ก็คงกระทำในระหว่างวันเวลาตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องนั้นเอง และนอกจากนี้ฟ้องของโจทก์ยังได้ระบุอ้างว่าวันที่ 29 ตุลาคม 2496 เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยของกลางหลายอย่างซึ่งเกี่ยวกับการที่จำเลยจำหน่ายสลากดังนี้จำเลยก็ย่อมเข้าใจได้ดีว่าจำเลยถูกจับได้ของกลางในวันที่ 29 ตุลาคม 2496 อันเป็นสิ่งที่แสดงว่าจำเลยได้กระทำผิดในระหว่างวันเวลาที่โจทก์กล่าวหานั้นโดยเฉพาะการจับจำเลยได้พร้อมของกลางก็ยังอาจเป็นข้อพิสูจน์ว่าจำเลยจัดให้มีการออกสลากพนันได้ ยังฟังไม่ได้ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คดีนี้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงพึงย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงและพิพากษาใหม่ หรือศาลฎีกาจะวินิจฉัยข้อเท็จจริงและพิพากษาไปทีเดียว ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่าในกรณีเช่นนี้ตามกฎหมายเป็นเรื่องอยู่ในดุลพินิจของศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่หรือศาลฎีกาจะพิจารณาพิพากษาให้เสร็จไปเสียทีเดียวก็ได้ และศาลฎีกาเห็นว่าตามรูปความแห่งคดี ศาลฎีกาควรพิจารณาพิพากษาให้เสร็จไปเสียทีเดียวและเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องจริง

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลจังหวัดอุบลฯ ทุกประการ

Share