คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องมรดกที่ดินต่างอ้างถึงสำนวนคดีแดงอีกเรื่องหนึ่งเมื่อศาลเห็นว่าตามคำฟ้องคำให้การประกอบกับสำนวนเรื่องนั้นก็พอวินิจฉัยคดีได้แล้วศาลก็อาจงดสืบพยานเสียแล้วนำสำนวนคดีนั้นมาวินิจฉัยประกอบได้เองโดยโจทก์จำเลยไม่ต้องขอระบุอ้าง
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทคำพิพากษาถึงที่สุดวินิจฉัยว่าที่พิพาทโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิและปกครองร่วมกันข้อเท็จจริงอันนี้ย่อมผูกมัดโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันด้วยและคดีหลังนี้โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่พิพาทจึงเป็นคนละประเด็นไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางเขียวโจทก์กับจำเลยเคยพิพาทกันตามคดีแพ่งแดงที่ 91/2495 คดีถึงที่สุดว่าจำเลยเป็นบุตรโจทก์ ๆ จำเลยมีกรรมสิทธิร่วมกัน จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินให้โจทก์ 3 ใน 4

จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นสินเดิมของนางเขียวมารดาโจทก์จำเลยตกลงแบ่งที่พิพาทกันแล้ว โจทก์ได้ตอนตะวันออกจำเลยได้ตอนตะวันตกจำเลยได้ครอบครองมากว่า 10 ปีแล้วคดีโจทก์ขาดอายุความและเป็นฟ้องซ้ำ

ศาลชั้นต้นเห็นว่าตามคำฟ้องคำให้การกับสำนวนคดีที่เกี่ยวข้องคือคดีแดงที่ 91/2495 พอวินิจฉัยได้แล้วงดสืบพยานพิพากษาให้แบ่งที่ให้โจทก์ 3 ใน 4 ส่วน

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ศาลยกเอาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งแดงที่ 91/2465 มาวินิจฉัยนั้นย่อมทำได้ เพราะตามคำฟ้องและคำให้การระบุถึงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีก่อนเป็นคำพิพากษาถึงที่สุดย่อมผูกมัดโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้น คดีนั้นศาลพิพากษาว่าที่พิพาทและนอกพิพาทในคดีนี้เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางเขียวและโจทก์จำเลยครอบครองมาด้วยกัน ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะต้องนำสืบอีก และคดีนี้ย่อมไม่ขาดอายุความทั้งเรื่องมรดกและการแย่งการครอบครองในคดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลย คดีถึงที่สุดว่าจำเลยมีส่วนร่วมอยู่ด้วย ขับไล่ไม่ได้ การที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่พิพาทในคดีนี้อีกจึงเป็นคนละประเด็น ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

Share