แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ขายฝากที่ดินและเรือนจนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้ว จำเลยยังอาศัยอยู่โดยไม่มีสิทธิ ถึงแม้ไม่ได้แนบสัญญาขายฝากมาท้ายฟ้องด้วยก็ถือได้ว่าเป็นฟ้องที่สมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะมิใช่เอกสารตามที่กฎหมายต้องการดังบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายฝากที่ดินและเรือนไว้กับโจทก์ พ้นกำหนดไถ่คืนแล้วโจทก์แจ้งให้จำเลยออกจากที่ดินบ้านเรือนดังกล่าว จำเลยไม่ยอมออกจึงขอให้ขับไล่ จำเลยต่อสู้ว่าผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยไปทำสัญญาขายฝากให้โจทก์โดยปราศจากอำนาจผิดความประสงค์ของจำเลย หน้าที่นำสืบจึงตกแก่จำเลย เมื่อจำเลยไม่สืบพยานก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายฝากที่ดินและเรือนหนึ่งหลัง ตั้งอยู่บ้านช้างคำ ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ราคา 3,500 บาทกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี ตามหนังสือสัญญาขายฝากที่ 34/214 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2503 ซึ่งโจทก์จะยื่นต่อศาลในวันพิจารณา จำเลยไม่ไถ่คืนภายในกำหนด ที่ดินและเรือนนี้จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์จำเลยขออาศัยอยู่ต่อมา โจทก์มีความประสงค์จะใช้สิทธิในทรัพย์สินของโจทก์และได้มีหนังสือให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินบ้านเรือนโจทก์แล้วจำเลยยังไม่ยอมออกไปขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินบ้านเรือนรายนี้
จำเลยให้การว่า มิได้ขายฝากที่ดินและเรือน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมความจริงจำเลยจะยกที่ดินโฉนดที่ 433 ตำบลในเวียงให้นางคำดี นางนันทวัน นายมนูญ บุตรทั้งสามคน แต่นางคำดีผู้รับมอบอำนาจกลับนำโฉนดและใบมอบไปขายฝากไว้กับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินดังฟ้อง โจทก์มิได้แนบเอกสารสัญญาขายฝากมาท้ายฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน ถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแถลงรับกันในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 14 มีนาคม 2512 ว่า
1. ที่ดินที่โจทก์รับซื้อฝาก เป็นที่ดินของจำเลยโฉนดที่ 433แปลงเดียวที่โจทก์รับซื้อฝากจากจำเลยซึ่งจำเลยได้อาศัยอยู่จนบัดนี้
2. จำเลยรับว่านางคำดีนำที่ดินตามข้อ 1 ของโจทก์ (ที่ถูกน่าจะเป็นจำเลย) ไปขายฝากไว้กับโจทก์จริง และตกเป็นสิทธิแก่โจทก์แล้วแต่การขายฝากเป็นไปโดยมิชอบ เพราะนางคำดีมิได้รับมอบอำนาจจากจำเลยให้ไปขายฝากกับโจทก์
3. จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวแล้ว คู่ความแถลงร่วมกันไม่ขอสืบพยาน ให้ศาลตัดสินไปตามคำร้องขอให้ชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย และอาศัยข้อเท็จจริงตามฟ้อง คำให้การและรายงานกระบวนพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายด้วย โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยขายฝากที่ดินและเรือนพิพาทให้กับโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นพิพาท โจทก์ตกเป็นฝ่ายแพ้คดี พิพากษายกฟ้อง
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟังได้แล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาท เมื่อจำเลยเถียงว่าการขายฝากเป็นไปโดยมิชอบแต่มิได้นำสืบหักล้าง จำเลยก็แพ้คดี พิพากษากลับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินบ้านเรือนที่ขายฝากให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้แนบเอกสารการขายฝากที่กล่าวอ้างไปท้ายฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์นั้นเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยบรรยายเท้าความว่า จำเลยได้ขายฝากที่ดินและเรือนจนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้ว จำเลยยังอาศัยอยู่โดยไม่มีสิทธิ สัญญาขายฝากจึงมิใช่เอกสารตามที่กฎหมายต้องการดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่เป็นเรื่องที่จะต้องใช้ในการนำสืบ ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนเรื่องหน้าที่นำสืบนั้นได้พิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ และรายงานกระบวนพิจารณาตลอดจนเอกสารหลักฐานที่โจทก์จำเลยอ้างส่งเป็นพยานด้วยแล้ว เห็นว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ขายฝากที่ดินกับเรือนพิพาทจนตกเป็นสิทธิแก่โจทก์แล้ว จำเลยรับว่านางคำดีได้นำที่ดินและเรือนไปขายฝากไว้กับโจทก์จริงและตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์แล้ว ในโฉนดก็มีชื่อโจทก์เป็นผู้รับซื้อฝาก หนังสือมอบอำนาจของจำเลยก็มีชื่อนางคำดีเป็นผู้มีอำนาจจัดการทำสัญญาขายฝาก ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง เมื่อจำเลยเถียงว่าการขายฝากไม่ชอบเพราะนางคำดีมิได้รับมอบอำนาจให้ไปขายฝาก จำเลยย่อมมีหน้าที่นำสืบเพื่อสนับสนุนข้อต่อสู้ของตน แต่จำเลยมิได้นำสืบ จึงตกเป็นฝ่ายแพ้คดี
พิพากษายืน