คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1222/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ผู้ตายแทงจำเลยก่อน จำเลยจึงทำร้ายตอบ ถ้าเป็นกรณีที่ต่างท้าทายสมัครเข้าทำร้ายกัน ก็ไม่เป็นการป้องกันหรือยั่วโทสะ
จำเลยแทงเขาตายแล้วไปแจ้งความต่อกำนันเป็นเท็จว่าเขาลักทรัพย์ จำเลยจะจับ และได้ทำร้ายเพราะป้องกันตัว การแจ้งความนี้ก่อนที่จำเลยถูกจับกุมฟ้องร้อง จำเลยมีความผิดตาม มาตรา 118

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทงต่างกรรมต่างวาระกัน คือเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2496 เวลากลางคืนจำเลยทั้ง 2 สมคบกันใช้ปืนและมีดยิงแทงทำร้ายร่างกายนายแดงขามโคกกรวด โดยเจตนาจะฆ่าให้ตาย นายแดง ขามโคกกรวดตายทันทีด้วยพิษบาดแผลที่จำเลยทำร้าย บาดแผลของผู้ตายปรากฏตามรายงานชันสูตรพลิกศพ แล้วในคืนนั้นเองนายขำจำเลยบังอาจเอาความเท็จไปแจ้งแก่นายนาค มิตรสูงเนินกำนัน ว่านายแดงผู้ตายกับพวกอีก 2 คนเข้าไปลักกระบือของนายสอน นายขำ จำเลยจะจับนายแดงผู้ตายแทงนายขำ จำเลย ๆ จึงยิงนายแดงตาย ความจริงนายแดงผู้ตายหาได้เป็นคนร้ายลักกระบือของนายสอนไม่ เหตุทั้งหมดเกิดที่ตำบลโคกกรวด อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 118 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2477 (ฉบับที่ 3) มาตรา 3 และริบของกลาง

จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ใช้มีดแทงและยิงนายแดงผู้ตายโดยป้องกันตัว การที่นายขำ จำเลยแจ้งความแก่นายนาค กำนันนั้นเป็นการแจ้งเพื่อต่อสู้คดี ในฐานะเป็นผู้ต้องหา จึงหามีความผิดไม่

ศาลจังหวัดนครราชสีมาพิจารณาแล้วฟังว่า ในวันโจทก์หาเวลาประมาณ 18.00 นาฬิกา ขณะกินสุรากันอยู่ที่เรือนนายเขียว นายแดงผู้ตายชักมีดออกจ่อหน้าอกนายขำ จำเลย และท้าทายว่ามาแทงกันคนละทีนายเชื่อมกับนายเกลี้ยงฉุดผู้ตายลงเรือนมา จำเลยทั้งสองก็ไปจากที่นั้นในคืนนั้นเวลาประมาณ 19.00 นาฬิกานายขำ จำเลยถือปืนลูกซอง 1 กระบอก นายดัดจำเลยมีมีดปลายแหลม 1 เล่ม ได้มาพบกับผู้ตายใกล้บ้านนายเม้ย และบ้านนายเขียว ผู้ตายแทงจำเลย ๆ ก็แทงและยิงผู้ตายตายแล้วนายขำ จำเลยนำความเท็จไปแจ้งแก่นายนาค กำนันว่า ผู้ตายลักกระบือนายสอน นายขำ จำเลยจะจับผู้ตายจะแทง นายขำ จำเลยจึงยิงผู้ตายตาย เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาจะฆ่าผู้ตายมาแต่แรกจึงได้เตรียมอาวุธมา การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา นายขำ จำเลยได้แจ้งความเท็จแก่นายนาค กำนันก่อนตกเป็นผู้ต้องหา จึงต้องมีความผิดฐานแจ้งความเท็จอีกกระทงหนึ่ง พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 249 นายขำ จำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 118 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2477 มาตรา 3 อีกระทงหนึ่ง ให้รวมกระทงลงโทษจำคุกนายขำจำเลย 15 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับทั้งชั้นสอบสวนและชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามาก ลดโทษให้ จำคุกจำเลย 1 ใน 3 ตามมาตรา 59 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 10 ปี ของกลางริบ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาตรวจปรึกษาสำนวนนี้แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าได้มีการเลี้ยงสุรากันที่บ้านนายเขียว แล้วนายแดงผู้ตายชักมีดออกมาจ่อหน้าอกนายขำ จำเลยและท้าให้มาแทงกันคนละทีดังศาลล่างทั้งสองชี้ขาดมา นายเชื่อม นายเกลี้ยงฉุดนายแดงลงเรือนไป จำเลยทั้งสองก็ไปจากที่นั้นแล้วถือปืนและมีดกลับมาพบกับนายแดงตรงหน้าบ้านนายเม้ยและนายเขียว ปรากฏตามคำนายเม้ยว่านายขำจำเลยได้พูดขึ้นว่า “เอาซิแดง” และนายดัด จำเลยก็เบิกความเจือสมว่านายขำ จำเลยได้พูดขึ้นว่า “อ้ายแดง นี่อ้ายขำ มึงจะเอากันไหมละ”นายแดงตอบว่า “เอา” แล้วปืนก็ลั่น รูปคดีฟังได้ถนัดว่าจำเลยไปเอาอาวุธกลับมาเพื่อต่อสู้ทำร้ายกับนายแดง ฉะนั้นแม้นายแดงจะตรงเข้าแทงจำเลยก่อนและจำเลยแทงและยิงตอบในภายหลัง ก็ฟังไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยป้องกันตัวหรือถูกยั่วโทสะดังจำเลยฎีกามา

ข้อที่จำเลยฎีกาว่านายขำ จำเลยไปแจ้งความเท็จต่อนายนาคกำนันเพื่อต่อสู้คดีให้พ้นผิด และไม่มีผู้ใดหลงเชื่อหรือเสียหายไม่ควรมีความผิดฐานแจ้งความเท็จนั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยไปแจ้งความเท็จต่อนายนาค กำนัน จำเลยยังไม่ได้จับกุมฟ้องร้องในความผิดฐานฆ่าคนตายคำเท็จของจำเลยนี้อาจทำให้ผู้อื่นหรือสาธารณชนเสียหายดังกฎหมายบัญญัติไว้ จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานแจ้งความเท็จดังศาลล่างทั้งสองชี้ขาดมา ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

คงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย

Share