แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้สัญญาซื้อขายรถยนต์สมบูรณ์ การที่โจทก์ร่วมตกลงกับจำเลยนอกเหนือจากสัญญาซื้อขายรถยนต์ว่าจะยังไม่โอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ให้แก่จำเลยจนกว่าเช็คทั้งสี่ฉบับจะเรียกเก็บเงินได้นั้น แสดงว่าโจทก์ร่วมและจำเลยตกลงให้ถือการที่ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับหรือไม่ เป็นเงื่อนไขของการที่จะมีนิติสัมพันธ์กันตามสัญญาซื้อขายรถยนต์ ตราบใดที่ธนาคารยังไม่จ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ สัญญาซื้อขายรถยนต์ย่อมไม่มีผลสมบูรณ์ โจทก์ร่วมมีสิทธิติดตามเอารถยนต์กลับคืนมาได้ ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่โจทก์ร่วมให้การในชั้นสอบสวนว่ามีข้อตกลงนอกเหนือจากสัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าว ย่อมฟังได้ว่าขณะที่จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับยังไม่มีมูลหนี้ตามสัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลย แม้ธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ จำเลยก็ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 (1) (3) นับโทษจำเลยนี้ต่อมาจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ช. 2345/2547 ช. 2346/2547 และ ช. 2347/2547 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นายอำพล ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 (1) (3) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 10 เดือน รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 40 เดือน ให้นับโทษจำเลยนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ช. 2346/2547 หมายเลขแดงที่ ช. 379/2549 ของศาลชั้นต้น ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ ช. 2345/2547 และหมายเลขดำที่ ช. 2347/2547 ของศาลชั้นต้น ปรากฏว่าศาลยังมิได้มีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความว่าโจทก์ร่วมรู้จักกับจำเลยมาก่อน โดยจำเลยประกอบอาชีพค้าขายรถยนต์ใช้แล้ว ส่วนโจทก์ค้าขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2547 โจทก์ร่วมขายรถยนต์ยี่ห้อ เบนซ์ ให้แก่จำเลยราคา 2,500,000 บาท ตามสำเนารายงานการจดทะเบียนรถและสัญญาซื้อขาย จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ร่วมในวันทำสัญญา 150,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 2,350,000 บาท จำเลยสั่งจ่ายเช็ค 4 ฉบับที่พิพาทให้แก่โจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมส่งมอบรถยนต์พร้อมรายการจดทะเบียนให้แก่จำเลยในวันทำสัญญา เมื่อเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับถึงกำหนดเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ โจทก์ร่วมทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่จำเลยยืนยันว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับมอบให้โจทก์ร่วมเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ร่วมโดยมีสัญญาซื้อขายรถยนต์มาแสดง แต่ตามบันทึกคำให้การของโจทก์ร่วมในชั้นสอบสวน โจทก์ร่วมให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า นอกจากตามสัญญาซื้อขายรถยนต์แล้ว โจทก์ร่วมตกลงกับจำเลยว่าจะยังไม่โอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ให้แก่จำเลยจนกว่าเช็คพาททั้งสี่ฉบับจะเรียกเก็บเงินได้และยังไม่ส่งมอบคู่มือรถชุดโอนและรถยนต์ แต่จำเลยขอร้องโจทก์ร่วมว่า ขณะนี้จะมีผู้ซื้อรถยนต์คันนี้ คือ รถยนต์ตามสัญญาซื้อขายในราคาที่สูงกว่า และขอนำรถยนต์พร้อมคู่มือไปให้ลูกค้าที่จะซื้อรถยนต์ดู โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงได้มอบรถยนต์และคู่มือรถให้แก่จำเลยไป ภายหลังทราบว่าไม่มีคำกล่าวอ้างดังกล่าว และโจทก์ร่วมไปติดต่อทวงถามเพื่อเอารถยนต์คืนแต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงไม่ยอมคืนรถยนต์ให้ และเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน การหลอกลวงดังกล่าวทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น 2,350,000 บาท นอกจากนี้โจทก์ร่วมอ้างในฎีกาด้วยว่า โจทก์ร่วมมิได้มอบชุดโอน (ลอย) ซึ่งต้องมีลายมือชื่อของโจทก์ร่วมผู้โอนให้แก่จำเลยไป จำเลยจึงไม่สามารถโอนรถยนต์ให้แก่ผู้อื่นต่อไปได้ ดังนี้ การโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้สัญญาซื้อขายรถยนต์สมบูรณ์ การที่โจทก์ร่วมตกลงกับจำเลยนอกเหนือจากสัญญาซื้อขายว่าจะยังไม่โอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ให้แก่จำเลยจนกว่าเช็คทั้งสี่ฉบับจะเรียกเก็บเงินได้นั้น แสดงว่าโจทก์ร่วมและจำเลยตกลงให้ถือการที่ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับหรือไม่ เป็นเงื่อนไขของการที่จะมีนิติสัมพันธ์กันตามสัญญาซื้อขายรถยนต์ ตราบใดที่ธนาคารยังไม่จ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ สัญญาซื้อขายรถยนต์ย่อมไม่มีผลสมบูรณ์ โจทก์ร่วมมีสิทธิติดตามเอารถยนต์กลับคืนมาได้ ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่โจทก์ร่วมให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าว ย่อมฟังได้ว่า ขณะที่จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับยังไม่มีมูลหนี้ตามสัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลย แม้ธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทจำเลยก็ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค นอกจากนี้ ในส่วนที่โจทก์ร่วมให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยขอร้องโจทก์ร่วมขอนำรถพร้อมคู่มือไปให้ลูกค้าที่จะซื้อรถดู ก็เจือสมกับที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า โจทก์ร่วมนำรถยนต์มามอบหมายให้จำเลยไปขายให้แก่บุคคลภายนอกโดยให้จำเลยออกเช็คค้ำประกันไว้ด้วยประกอบกับโจทก์ร่วมเบิกความรับว่า โจทก์ร่วมแจ้งความดำเนินคดีจำเลยกับพวกข้อหาร่วมกันยักยอกรถยนต์ของโจทก์จำนวนหลายคันตามรายงานประจำวันซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีพฤติการณ์ที่โจทก์ร่วมนำรถยนต์ไปมอบให้จำเลยเพื่อนำไปขายให้แก่บุคคลภายนอกดังที่จำเลยเบิกความจริง คำเบิกความของจำเลยจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนที่โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับมอบให้โจทก์ร่วมโดยลงวันที่ล่วงหน้าเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ มิใช่ค้ำประกัน เพราะหากเป็นการค้ำประกันแล้ว ไม่น่าจะออกเช็คถึง 4 ฉบับนั้น ตามคำให้การชั้นสอบสวนของโจทก์ร่วมที่ให้การว่า โจทก์ร่วมจะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์แก่จำเลย เมื่อเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเรียกเก็บเงินได้แล้วนั้น แสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่า หากมีเช็คพิพาทฉบับใดฉบับหนึ่งเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ร่วมก็ยังไม่โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้จำเลย ต้องรอจนกว่าจะเรียกเก็บเงินได้ครบทั้งสี่ฉบับก่อน การที่จำเลยออกเช็คหลายฉบับเพื่อค้ำประกันการขายรถยนต์ให้แก่โจทก์ร่วมจึงมิใช่ข้อพิรุธแต่อย่างใด เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วมมิได้นำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายละเอียดที่โจทก์ร่วมและจำเลยตกลงกันนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายรถยนต์ตามที่โจทก์ร่วมให้การไว้ในชั้นสอบสวนให้ชัดแจ้ง ประกอบกับมีข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์บางส่วนสนับสนุนคำเบิกความของจำเลยให้มีน้ำหนักรับฟัง พยานหลักฐานโจทก์จึงยังมีข้อสงสัยตามสมควรซึ่งต้องรับฟังให้เป็นคุณแก่จำเลยว่า ขณะที่จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ ยังไม่มีมูลหนี้ตามสัญญาซื้อขายรถยนต์และจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเพื่อค้ำประกันการขายรถยนต์ให้แก่โจทก์ร่วม ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาข้ออื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน