คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องโจทก์สามารถแยกข้อหาและคำขอบังคับออกได้เป็นสองส่วนส่วนหนึ่งคือจำเลยที่2ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากจำเลยที่1โดยรู้ว่าจำเลยที่1ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์อยู่ก่อนแล้วทำให้โจทก์เสียเปรียบขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่1และที่2ซึ่งคำขอในส่วนนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์อีกส่วนหนึ่งคือจำเลยที่1ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และรับชำระราคาบางส่วนไปแล้วขอให้บังคับจำเลยที่1จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์พร้อมทั้งรับค่าที่ดินส่วนที่เหลือซึ่งคำขอในส่วนนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ในคดีที่มีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์รวมอยู่ในคดีเดียวกันจะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่นั้นย่อมจะต้องพิจารณาว่าคดีนั้นมีคำขอใดเป็นหลักคำขอใดเป็นคำขอที่ต่อเนื่องคดีนี้โจทก์มีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่1และที่2เมื่อเพิกถอนแล้วจึงให้จำเลยที่1โอนขายให้โจทก์พร้อมรับชำระราคาส่วนที่เหลือจึงถือว่าคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทเป็นคำขอหลักคำขอให้จำเลยที่1ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายเป็นคำขอต่อเนื่องจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 3212 เนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 1 ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคา200,000 บาท โจทก์ได้วางเงินมัดจำและชำระหนี้บางส่วนให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวน 100,000 บาท แล้ว ต่อมาวันที่ 13 กันยายน2534 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์อยู่ก่อนและรู้อยู่แล้วว่าการกระทำดังกล่าวทำให้โจทก์เสียเปรียบ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินโฉนดเลขที่ 3212 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์พร้อมทั้งรับเงินจากโจทก์จำนวน 100,000 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่โจทก์ฟ้องให้แก่จำเลยที่ 2ในราคา 420,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 รับโอนโดยสุจริต มิได้กระทำการฉ้อฉลแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2534 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3212 ให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 420,000 บาท โจทก์ฎีกาว่า การโอนขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการฉ้อฉลโจทก์ทำให้โจทก์เสียเปรียบ เพราะจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ก่อนแล้ว เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จำเลยที่ 2 กล่าวในคำแก้ฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์สามารถแยกข้อหาและคำขอบังคับออกได้เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่ง คือจำเลยที่ 2 ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยรู้ว่าจำเลยที่ 1ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์อยู่ก่อนแล้วทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งคำขอในส่วนนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง อีกส่วนหนึ่งคือ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และรับชำระราคาบางส่วนไปแล้ว ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์พร้อมทั้งรับค่าที่ดินส่วนที่เหลือ ซึ่งคำขอในส่วนเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่การที่จะวินิจฉัยคำขอในส่วนนี้ต้องวินิจฉัยคำขอในส่วนแรกเพื่อให้ได้ความว่ามีเหตุให้ต้องเพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ก่อน และในกรณีที่เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์รวมอยู่ในคดีเดียวกัน จะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ย่อมจะต้องพิจารณาว่าคดีนั้นมีคำขอใดเป็นหลัก คำขอใดเป็นคำขอที่ต่อเนื่องคดีนี้โจทก์มีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อเพิกถอนแล้วจึงให้จำเลยที่ 1 โอนขายให้โจทก์พร้อมรับชำระราคาส่วนที่เหลือ จึงถือว่าคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทเป็นคำขอหลัก คำขอให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายเป็นคำขอต่อเนื่อง จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงดังที่จำเลยที่ 2 แก้ฎีกา คดีจึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าในการทำนิติกรรมขายระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้นจำเลยที่ 2 รู้หรือไม่ว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ก่อนแล้ว ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังว่าแม้จำเลยที่ 2 จะอ้างตนเองเป็นพยานปากเดียวว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้วก็ตามแต่เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่น่าเชื่อ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยรู้ถึงการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์มาก่อนไม่มีเหตุให้ต้องเพิกถอน
พิพากษายืน

Share