คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นกับการที่จำเลยขับรถในขณะเมาสุรา เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันโดยจำเลยมีเจตนาเดียวคือ ขับรถด้วยความเร็วเกินสมควรโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ บัญญัติบทฐานความผิดไว้ในมาตราเดียวกัน แต่คนละอนุมาตรา ก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 78, 157, 160
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) (4) (8), 78 (ที่ถูกมาตรา 78 วรรคหนึ่ง), 157, 160 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานขับรถโดยประมาท หรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินและฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 160 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 15 วัน ฐานขับรถในขณะเมาสุรา จำคุก 15 วัน ฐานขับรถเกิดอุบัติเหตุแล้วหลบหนีไม่แจ้งเหตุ จำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 2 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุรากับความผิดฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่นเป็นกรรมเดียวให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2), 160 วรรคสาม จำคุก 15 วัน เมื่อรวมกับโทษจำคุก 1 เดือน ฐานขับรถเกิดอุบัติเหตุแล้วหลบหนีไม่แจ้งเหตุ รวมเป็นโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง 1 เดือน 15 วัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุรากับความผิดฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น เป็นความผิดต่างกรรมกันเนื่องจากเจตนาในการกระทำความผิดแยกกันได้ชัดเจน โดยความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุราเป็นความผิดสำเร็จทันทีเมื่อจำเลยเมาสุราขับรถ ส่วนความผิดฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นภายหลัง ทั้งกฎหมายบัญญัติความผิดไว้ต่างอนุมาตรากัน นั้น เห็นว่า การที่จำเลยขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นกับการที่จำเลยขับรถในขณะเมาสุรา เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันโดยจำเลยมีเจตนาเดียวคือขับรถด้วยความเร็วเกินสมควรโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 บัญญัติบทฐานความผิดไว้ในมาตราเดียวกัน แต่คนละอนุมาตรา ก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันได้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share