แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายและ ส. พยานโจทก์เบิกความขัดกันในสาระสำคัญหลายประการและขัดกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเองด้วยทำให้น่าสงสัยและที่ผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยพาผู้เสียหายไปโดยการขู่เข็ญ บังคับโดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลย จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยจับมือทั้งสองของผู้เสียหายและเหวี่ยงบังคับกดลงกับพื้น จำเลยกดทับตัวผู้เสียหาย ผู้เสียหายรู้สึกเจ็บที่อวัยวะเพศและพบว่ามีเลือดไหลออกมามากจนเปรอะเปื้อนพื้นกระดาน จำเลยเอาน้ำจากห้องน้ำมาล้าง ส่วนผู้เสียหายลุก ไม่ไหวจนกระทั่งรุ่งเช้าผู้เสียหายลุกขึ้นยังเดินเซ จะเข้าห้องน้ำจนจำเลยต้องช่วยประคอง นั้น พยานโจทก์ซึ่งเป็นแพทย์ก็เบิกความว่าได้ตรวจร่างกายผู้เสียหายหลังจากถูกข่มขืนเพียง 5 วัน ไม่พบรอยฉีก ขาดหรือฟกช้ำ รูปคดีจึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน คือ ก.เมื่อระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม 2530 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 4พฤศจิกายน 2530 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยบังอาจพรากและพานางสาวสุณี หมัดกอเซ็ม ผู้เสียหายอายุ 15 ปีเศษ ไปเสียจากนายเต๊ะหรือสลาม หมัดกอเซ็ม บิดา โดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร โดยจำเลยใช้อาวุธปืนสั้นขู่เข็ญผู้เสียหายและใช้กำลังประทุษร้ายฉุดผู้เสียหายขึ้นรถจักรยานยนต์ไปหน่วงเหนี่ยวและกักขังไว้ อันเป็นการกระทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ข. เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2530 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยบังอาจข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยขู่เข็ญว่าจะทำร้ายร่างกายหากร้องขอความช่วยเหลือ และใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำผู้เสียหายหมดแรงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยข่มขืนผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง เหตุเกิดที่ตำบลเกาะจันทร์อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ตำบลหนองไม้แก่น อำเภอแปลงยาวจังหวัดฉะเชิงเทรา และตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 276,284, 310, 318 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 3, 4 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2530 มาตรา 7
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284, 318 วรรคสาม และ 276 วรรคแรก ลงโทษความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 4 ปี และความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตน จำคุก 6 ปี รวมจำคุก10 ปี ความผิดข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามวันเวลาที่โจทก์ฟ้องจำเลยได้พานางสาวสุณี หมัดกอเซ็ม ผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 15 ปี 11 เดือน ไปเสียจากบิดาโดยพาไปนอนค้างกับจำเลยเป็นเวลา 4 คืน ในระหว่างนอนค้างอยู่ด้วยกันจำเลยได้กอดจูบและร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายกับนายสม แจ่มใส เป็นพยานว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปโดยการขู่เข็ญ บังคับ ผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลยและผู้เสียหายยืนยันว่าได้ถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราด้วย แต่ผู้เสียหายและนายสมเบิกความขัดกันในสาระสำคัญหลายประการ และขัดกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเองด้วย คำเบิกความที่แตกต่างเช่นนี้ทำให้น่าสงสัยว่าพยานทั้งสองจะมิได้เบิกความไปตามความจริง นอกจากนี้ผู้เสียหายเบิกความถึงเหตุการณ์ขณะถูกจำเลยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญบังคับว่า ผู้เสียหายดิ้นรนขัดขืนเพราะเชื่อว่าอย่างไรเสียจำเลยก็ไม่กล้าฆ่าผู้เสียหาย และได้ความว่าจากจุดที่จำเลยบังคับเอาตัวผู้เสียหายไปจนถึงบ้านนายฮวดนั้นห่างกัน 20กิโลเมตรเศษ บางจุดก็ผ่านตลาดในหมู่บ้าน แต่ผู้เสียหายไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ การที่ผู้เสียหายไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือในสภาวการณ์ดังกล่าวจึงน่าจะเป็นเพราะผู้เสียหายยินยอมไปกับจำเลยนั่นเอง ดังจะเห็นได้จากที่พันตำรวจโทขวัญชัย อมรวัฒนวงษ์ เบิกความว่า นายปรุง นายฮวด นางนะ ให้ปากคำว่าผู้เสียหายไม่เคยบอกว่าถูกจำเลยฉุดคร่าตัวมา ผู้เสียหายเบิกความด้วยว่าเมื่อวันที่1 พฤศจิกายน 2530 จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายครั้งหนึ่งโดยจำเลยจับมือทั้งสองของผู้เสียหายและเหวี่ยงบังคับกดลงกับพื้นผู้เสียหายดิ้นรนขัดขืน แต่จำเลยยิ่งออกแรงมาก ทุกครั้งที่เหวี่ยงผู้เสียหายก็กระเด็น ผู้เสียหายดิ้นรนขัดขืนและต่อสู้นานประมาณ15 นาที จำเลยจึงกดทับตัวผู้เสียหายให้นอนหงายและข่มขืนผู้เสียหายผู้เสียหายรู้สึกเจ็บไปหมด ผู้เสียหายดิ้นและกลัวตาย รู้สึกเจ็บที่อวัยวะเพศและพบว่ามีเลือดไหลออกมามากจนเปรอะเปื้อนพื้นกระดานจำเลยเอาน้ำจากห้องน้ำมาล้างเลือดที่เปรอะเปื้อนพื้นกระดานส่วนผู้เสียหายลุกไม่ไหว จนกระทั่งรุ่งเช้าผู้เสียหายลุกขึ้นยังเดินเซจะเข้าห้องน้ำจนจำเลยต้องช่วยประคอง แต่นายแพทย์สุเทพแสงดารา พยานโจทก์เบิกความว่าได้ตรวจพิสูจน์ผู้เสียหายเมื่อวันที่5 พฤศจิกายน 2530 หลังผู้เสียหายถูกข่มขืนเพียง 5 วัน เมื่อตรวจภายในอวัยวะเพศผู้เสียหายไม่พบรอยฉีกขาดหรือฟกช้ำตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ก็ระบุว่าไม่พบรอยฉีกขาดใด ๆจึงน่าสงสัยว่าที่ผู้เสียหายเบิกความว่ามีเลือดไหลออกมานั้นจะไม่เป็นความจริงข้อเท็จจริงอาจจะเป็นตามที่จำเลยนำสืบว่าผู้เสียหายมีความสัมพันธ์กับจำเลยอย่างคนรักเคยได้เสียกันแต่ผู้ใหญ่ฝ่ายผู้เสียหายไม่ชอบจำเลย จำเลยซึ่งยังไม่มีภรรยากับผู้เสียหายจึงตกลงจะไปอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน โดยให้นายสมรับผู้เสียหายไปพบจำเลยก็ได้ รูปคดีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.