คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12193/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า การพิจารณาและสืบพยานในศาลให้ทำ โดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ประกอบกับขณะมีการพิจารณาคดีนี้ ป.วิ.อ. ยังมิได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 226/5 ซึ่งมีข้อความว่า ในชั้นพิจารณาหากมีเหตุจำเป็นหรือเหตุอันสมควร ศาลอาจรับฟังบันทึกคำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้ แม้โจทก์มีพยานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง และในชั้นพิจารณาจำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ออกเช็คตามฟ้องและธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองได้แถลงร่วมกันว่า ประสงค์จะต่อสู้ว่าเช็คไม่มีมูลหนี้ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 โจทก์จึงมีภาระต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อให้ได้ความจริงว่า จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้องจริง เมื่อโจทก์ไม่นำพยานเข้าสืบในชั้นพิจารณา คงยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีต่อศาลชั้นต้น จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่นำสืบพยานเพื่อสนับสนุนว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิด จึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้จำคุก 4 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในขั้นตอนการสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังยุติว่า หลังจากศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งรับประทับฟ้องไว้พิจารณา จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 และทนายจำเลยที่ 2 มาศาล ทนายโจทก์แถลงว่ามีพยานมาศาล 2 ปาก พร้อมสืบ ทนายจำเลยที่ 2 แถลงว่าขอให้นำคำให้การพยานโจทก์ปากนี้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมาเป็นคำเบิกความพยานโจทก์ในชั้นพิจารณาและจำเลยที่ 2 แถลงรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารที่ทางฝ่ายโจทก์ยื่นต่อศาล รับว่ามีการออกเช็คจริง และธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า เงินในบัญชีไม่พอจ่าย และบัญชีดังกล่าวนั้นเป็นบัญชีของบริษัทจำเลยที่ 1 โดยมีเงื่อนไขการสั่งจ่าย หากทางฝ่ายโจทก์ไม่คัดค้านแล้ว ทางฝ่ายจำเลยที่ 2 ไม่ติดใจสืบพยานจำเลยที่ 2 ทนายโจทก์แถลงไม่คัดค้าน ต่อมานางเบญจวรรณ ผู้แทนบริษัทจำเลยที่ 1 คนใหม่มาศาลและยืนยันให้การปฏิเสธ ทั้งทนายจำเลยทั้งสองแถลงว่า จำเลยทั้งสองประสงค์จะต่อสู้ว่าเช็คในคดีนี้ไม่มีมูลหนี้ตามเช็คและจำเลยที่ 1 ขอรับข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับจำเลยที่ 2 และไม่ติดใจสืบพยานจำเลยที่ 1 หลังจากนั้น ศาลชั้นต้นจึงมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ตามที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในขั้นตอนการสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคหนึ่ง จะบัญญัติว่า การพิจารณาและสืบพยานในศาลให้ทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ประกอบกับขณะมีการพิจารณาคดีนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญายังมิได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 226/5 ซึ่งมีข้อความว่า ในชั้นพิจารณาหากมีเหตุจำเป็นหรือเหตุอันสมควร ศาลอาจรับฟังบันทึกคำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้ ดังนั้น แม้คดีนี้โจทก์จะมีพยานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม แต่ในชั้นพิจารณาแม้จำเลยทั้งสองจะให้การว่าได้ออกเช็คตามฟ้องและธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองได้แถลงร่วมกันว่า ประสงค์จะต่อสู้ว่าเช็คในคดีนี้ไม่มีมูลหนี้ตามเช็คซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ดังนั้น โจทก์จึงมีภาระต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อให้ได้ความจริงว่า จำเลยทั้งสองได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้องจริง เมื่อโจทก์ไม่นำพยานเข้าสืบในชั้นพิจารณา คงยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีต่อศาลชั้นต้น จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่นำสืบพยานเพื่อสนับสนุนว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิด จึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องได้ ตามที่ศาลชั้นต้นรับฟังพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งมิได้กระทำต่อหน้าจำเลยมาวินิจฉัยคดี จึงเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคหนึ่ง ทั้งคดีไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในขั้นตอนการสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้วมีคำพิพากษาใหม่ เนื่องจากเหตุที่โจทก์ไม่สืบพยานโจทก์มิได้เกิดจากการที่ศาลชั้นต้นไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแต่ประการใด คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

Share