แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ชาวไร่หรือที่เรียกว่าสมาชิกผู้รับการส่งเสริมจะรับสินเชื่อไปจากโจทก์ จะต้องทำสัญญาส่งเสริมการปลูกฝ้ายกับห้างจำเลยซึ่งเรียกว่าผู้ส่งเสริมก่อน และต้องเอาฝ้ายดอกมาขายให้จำเลยแต่ผู้เดียวตามราคาที่จำเลยกำหนดไว้ในสัญญา แล้วหักทอนกับสินเชื่อที่รับไป เท่ากับจำเลยออกทุนให้ปลูกฝ้ายแล้วเอาผลิตผลมาขายหักใช้หนี้ ระหว่างที่โจทก์รับเอาสินเชื่อไปจ่ายแก่สมาชิก จำเลยก็มีจดหมายถึงโจทก์ซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการจ่ายสินเชื่อ โจทก์จึงเป็นตัวแทนจำเลยทั้งในการนำวัสดุสินเชื่อตลอดจนเงินสดและเช็คไปจ่ายแก่สมาชิก และรวบรวมฝ้ายดอกจากสมาชิกมาขายให้จำเลย โจทก์จึงมีสิทธิรับบำเหน็จจากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนจัดหาสมาชิกเกษตรกรชาวไร่ฝ้าย เพื่อรับการส่งเสริมจากจำเลย โดยจำเลยจะจัดหาเมล็ดพันธุ์ฝ้าย ยาฆ่าแมลง เครื่องมือกำจัดศัตรูพืชและเงินสดให้แก่สมาชิกตามระเบียบที่จำเลยทำขึ้นโดยเรียกจำเลยว่า “ผู้ส่งเสริม” ฝ่ายหนึ่ง และสมาชิกเกษตรกรชาวไร่ฝ้ายเรียกว่า “ผู้รับการส่งเสริม” อีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อโจทก์หาสมาชิกได้แล้ว ต้องนำสมาชิกมาทำสัญญากับจำเลย เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวสมาชิกต้องนำผลผลิตมาขายให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว โดยหักราคาขายกับสินเชื่อที่สมาชิกได้รับไป แล้วจำเลยจะจ่ายเงินค่าผลิตผลส่วนที่เกินสินเชื่อให้แก่สมาชิก จำเลยให้โจทก์มีหน้าที่บริการสินเชื่อแก่สมาชิก โดยให้โจทก์มารับสินเชื่อจากจำเลยไปจำหน่ายให้แก่สมาชิก เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว โจทก์ต้องรวบรวมฝ้ายดอกจากสมาชิกมาขายให้แก่จำเลยคนเดียว จำเลยตกลงให้บำเหน็จสินจ้างในการจำหน่ายสินเชื่อในอัตราร้อยละ๑๐ ของสินเชื่อที่จำหน่ายได้ และให้บำเหน็จสินจ้างในการเก็บฝ้ายดอกจากสมาชิกมาขายให้จำเลยกิโลกรัมละ ๒๐ สตางค์ โจทก์รับสินเชื่อไปจากจำเลย ๑,๒๗๕,๗๗๕ บาท ได้บำเหน็จ ๑๒๗,๕๗๗ บาท โจทก์ส่งฝ้ายดอกให้จำเลย ๒๕๒,๐๐๐ กิโลกรัม โจทก์ได้บำเหน็จ ๕๐,๔๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๗๗,๙๗๗ บาท แต่โจทก์ขอคิดเพียง ๑๗๗,๙๐๐ บาท ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า ไม่เคยตั้งโจทก์เป็นตัวแทน โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลย โจทก์มารับของจากจำเลยไปขายต่อให้แก่ชาวไร่ จำเลยคิดกำไรให้ร้อยละ ๑๐ จากราคาขาย หากมีหนี้กันจริงจำเลยก็ใช้หมดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๑๓๑,๒๖๖.๘๐ บาท และวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่า ในการที่พวกชาวไร่หรือที่เรียกว่า สมาชิกผู้รับการส่งเสริมจะมารับสินเชื่อจากโจทก์ จะต้องมาทำสัญญาส่งเสริมการปลูกฝ้ายกับจำเลย มีกำหนดชำระสินเชื่อคืนในตอนสิ้นปี เมื่อเก็บเกี่ยวฝ้ายดอกแล้วผู้รับการส่งเสริมต้องนำฝ้ายดอกมาขายให้จำเลยคนเดียว ตามราคาที่จำเลยกำหนดไว้ในสัญญา แล้วหักทอนสินเชื่อที่รับไป ในการทำสัญญานี้ผู้รับการส่งเสริมจะต้องนำหลักทรัพย์มามอบให้จำเลยไว้เป็นประกันการชำระหนี้เท่ากับว่าจำเลยออกทุนให้ผู้รับการส่งเสริมไปปลูกฝ้ายแล้วเอาผลผลิตมาขายให้จำเลยหักใช้หนี้นั่นเอง พฤติการณ์ดังกล่าวมานี้เห็นได้ว่าโจทก์เป็นตัวแทนจำเลยนำวัสดุสินเชื่อตลอดจนเงินสดไปจ่ายให้แก่สมาชิกผู้รับการส่งเสริม และเมื่อสมาชิกผู้รับการส่งเสริมเก็บเกี่ยวดอกฝ้ายได้แล้ว โจทก์ก็เป็นตัวแทนจำเลยไปรวบรวมจากสมาชิกนำมาขายให้จำเลยหักทอนหนี้สินกัน หากเป็นเรื่องซื้อขายกันก็ไม่มีเหตุผลประการใดที่จำเลยจะทดรองเงินจำนวนถึงหนึ่งล้านบาทเศษให้โจทก์ไปจ่ายให้แก่สมาชิกผู้รับการส่งเสริมและรวบรวมฝ้ายดอกจากสมาชิกผู้รับการส่งเสริมมาขายให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดพงษ์โชคชัยการฝ้ายจำเลยใช้เงินจำนวน ๑๓๑,๒๖๖.๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์