คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2495 ต่อมาได้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2503 และจดทะเบียนสมรวกับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2507 วันที่ 24 มิถุนายน 2507 ป.จดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แต่ต่อมาวันที่ 5 สิงหาคม 2507 ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 อีก และหลังจากนั้นคือวันที่ 30 ตุลาคม 2507 โจทก์กับ ป.จึงได้จดทะเบียนสมรสกันซ้ำอีกครั้งหนึ่ง วันที่ 1 เมษายน 2519 ป.ถึงแก่กรรมเช่นนี้ การจดทะเบียนสมรสระหว่าง ป.กับโจทก์ครั้งแรกและระหว่าง ป.กับจำเลยที่ 2 ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445 (3) เพราะในขณะนั้น ป.เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 อยู่แล้ว จึงเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 สำหรับจำเลยที่ 1 แม้จะปรากฏว่าได้จดทะเบียนหย่ากับ ป.ทำให้การสมรสขาดลง แต่ต่อมาก็ได้จดทะเบียนสมกันกันใหม่โดยสมบูรณ์ ชอบด้วยกฎหมายเพราะการสมรสระหว่าง ป.กับโจทก์และจำเลยที่ 2 ได้เป็นโมฆะมาตั้งแต่วันที่ได้จดทะเบียนสมรสแล้ว การที่โจทก์มาจดทะเบียนสมรสกับ ป. ครั้งหลังอีกจึงเป็นโมฆะเพราะขณะนั้น ป.เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงเป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายแต่ผู้เดียวของ ป. มีอำนาจฟ้องขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับ ป.เป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐ ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๑๘ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ยื่นหลักฐานต่อทางราชการว่าเป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐ ความจริงจำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนสมรสกับ จ่าสิบเอกประเสริฐในขณะที่ จ่าสิบเอกประเสริฐกับโจทก์เป็นสามีภรรยากันอยู่ กระทรวงกลาโหมไม่จ่ายบำเหน็จตกทอดให้โจทก์ ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสของจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะ และให้ศาลแจ้งคำสั่งของศาลไปยังสำนักทะเบียน ให้เพิกถอนทะเบียนสมรสของจำลยทั้งสอง
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๑ เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐ จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๙๔ ก่อนจ่าสิบเอกประเสริฐมาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์และจำเลยที่ ๒ การสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ โจทก์รบเร้าให้จ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนหย่าจำเลยที่ ๑ จ่าสิบเอกประเสริฐจึงทำการลวงโจทก์โดยจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ ๑ แล้วรีบจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ ๑ ใหม่ แล้วเอาทะเบียนหย่าไปให้โจทก์ดูและจดทะเบียนสมรสกับโจทก์อีก เมื่อจ่าสิบเอกประเสริฐถึงแก่กรรม โจทก์เอาทะเบียนสมรสที่เป็นโมฆะไปขอรับเงินบำเหน็จตกทอดและคัดค้านการที่จำเลยที่ ๑ ขอรับบำเหน็จตกทอดเป็นการไม่ชอบ ขอให้พิพากษายกฟ้องและพิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐ เป็นโมฆะ ให้โจทก์ไปเพิกถอนทะเบียนสมรสดังกล่าวถอนคำขอและคำคัดค้านที่จำเลยที่ ๑ ยื่นขอรับบำเหน็จตกทอดของจ่าสิบเอกประเสริฐ หากโจทก์ไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ และห้ามโจทก์เข้ายุ่งเกี่ยวอีก
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๑ กับจ่าสิบเอกประเสริฐจะจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๙๔ จริงหรือไม่ไม่รับรองหากเป็นความจริงก็จดทะเบียนหย่ากันแล้วเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๐๗ โจทก์ทะเบียนสมรสกับจ่าสิบเอกประเสริฐอย่างถูกต้อง โจทก์ไม่เคยรบเร้าให้ จ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ ๑ แล้วมาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ การที่โจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนสมรสกันซ้ำอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๗ ก็เพราะตามทะเบียนสมรสเดิมโจทก์ชื่อ บัวรินทร์ เมื่อเปลี่ยนชื่อมาเป็นอารียา จึงจดทะเบียนสมรสกันใหม่ การจดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ ๑กับจ่าสิบเอกประเสริฐเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๐๗ เป็นโมฆะเพราะขณะนั้น โจทก์เป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของ จ่าสิบเอกประเสริฐอยู่แล้ว โจท์มีสิทธิขอรับบำเหน็จตกทอดของจ่าสิบเอกประเสริฐ ไม่เป็นการละเมิดขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐตกเป็นโมฆะ คำขออื่นนอกจากนี้ของจำเลยที่ ๑ ให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องของจำเลยที่ ๑ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงคงรับฟังได้ว่าเดิม จ่าสิบเอกประเสริฐ จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๙๕ แล้วต่อมาจ่าสิบเอกประเสริฐได้มาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์และจำเลยที่ ๒ อีก โดยจดกับโจทก์วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๐๓ ขณะนั้นโจทก์ใช้ชื่อบัวรินทร์ และจดกับจำเลยที่ ๒ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๗ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๐๗ จ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ ๑ แต่ต่อมาในวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๐๗ จ่ายสิบเอกประเสริฐก็จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ ๑อีก และหลังจากนั้นคือ ต่อมาวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๗ โจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐก็ได้จดทะเบียนสมรสกันซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยครั้งหลังนี้โจทก์ใช้ชื่อ อารียา ซึ่งเป็นชื่อของโจทก์ในปัจจุบัน ครั้นวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๑๙ จ่าสิบเอกประเสริฐถึงแก่กรรม โจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ต่างไปขอรับเงินบำเหน็จตกทอดของจ่าสิบเอกประเสริฐจากกระทรวงกลาโหม อ้างว่าเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐ ทางกระทรวงกลาโหมข้ดข้อง จะจ่ายให้แต่เฉพาะภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐเพียงผู้เดียว จึงพิพาทกันเป็นคดีนี้ มีประเด็นข้อวินิจฉัยว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๑ หรือจำเลยที่ ๒ เป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐ
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างจ่าสิบเอกประเสริฐกับจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๗ ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๙๐ สำหรับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๐๗ ได้จดทะเบียนหย่ากับจ่าสิบเอกประเสริฐ ทำให้ขาดจากการสมรสก็ตาม แต่ต่อมาวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๐๗ จำเลยที่ ๑ กับจ่าสิบเอกประเสริฐก็ได้จดทะเบียนสมรสกันใหม่ การจดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ ๑ กับจ่าสิบเอกประเสริฐในครั้งหลังนี้ สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมาย เพราะขณะที่จดทะเบียนสมรสครั้งหลังนี้จ่าสิบเอกประเสริฐมิได้เป็นคู่สมรสของโจทก์หรือของจำเลยที่ ๒ เนื่องด้วยการสมรสระหว่างจ่าสิบเอกประเสริฐกับโจทก์และระหว่างจ่าสิบเอกประเสริฐกับจำเลยที่ ๒ เป็นโมฆะตั้งแต่วันที่จดทะเบียนสมรสกันแล้ว ดังวินิจฉัยมาข้างต้น เมื่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจ่าสิบเอกประเสริฐเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๐๗ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์มาจดทะเบียนสมรสกับจ่าสิบเอกประเสริฐครั้งหลังในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๗ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๔๕ (๓) , ๑๔๙๐ อีกเช่นกัน เพราะขณะนั้นจ่าสิบเอกประเสริฐเป็นคู่สมรสของจำเลยที่ ๑ อยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้น จำเลยที่ ๑ จึงเป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายแต่ผู้เดียวของจ่าสิบเอกประเสริฐ จำเลยที่ ๑ ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐเป็นโมฆะ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ เสียนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share