แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ว่าโจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะจำเลยและพวกฆ่าผู้ตายแต่โจทก์มีพยานแวดล้อมเห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดก่อนผู้ตายถูกยิงจนถึงแก่ความตายโดยเห็นจำเลยและพวกโต้เถียงกับผู้ตายและชักอาวุธปืนจ้องจะยิงผู้ตาย เมื่อผู้ตายวิ่งหนี จำเลยและพวกถืออาวุธปืนวิ่งไล่ตามผู้ตายไปทันทีแล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดหลังจากนั้นประมาณ 2 นาที ก็ดังขึ้นอีก 2 นัด ระยะเวลาที่จำเลยและพวกถืออาวุธปืนวิ่งไล่ตามผู้ตายไปจนมีเสียงปืนดังขึ้นรวม 3 นัด ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาไม่นานซึ่งไม่พอที่จะทำให้ระแวงสงสัยได้ว่าจะมีผู้อื่นเข้ามาฆ่าผู้ตายในช่วงเวลานั้น จึงเชื่อได้ว่าต้องเป็นจำเลยและพวกอย่างแน่แท้ที่ฆ่าผู้ตาย ทั้งเจ้าพนักงานตำรวจก็ตรวจพบมีดอีโต้ที่พวกจำเลยถือไปและรองเท้าแตะเปื้อนเลือด 1 ข้าง ของพวกจำเลยตกอยู่ในที่เกิดเหตุพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักแน่นแฟ้นฟังได้ว่า จำเลยและพวกร่วมกันฆ่าผู้ตาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83,91, 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 10 ปี เมื่อได้คำนึงถึงอายุประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ นิสัย อาชีพ สิ่งแวดล้อมทั้งสภาพความผิด ประกอบกับรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดตรังแล้ว เห็นว่า ปัจจุบันจำเลยมีอายุ 19 ปีเศษ การส่งจำเลยไปรับการฝึกและอบรมความประพฤติไม่เหมาะสมแก่จำเลยแล้ว จึงเห็นควรไม่เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลย ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ มีคนร้ายหลายคนร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงและใช้มีดอีโต้ฟันนายสมศักดิ์ แสงสีดำ ผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่าจนผู้ตายถึงแก่ความตายมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางพลอย แก้วเมือง และนางอำไพ แซ่อึ้ง ซึ่งเป็นพยานแวดล้อมซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุเบิกความสอดคล้องต้องกันว่ามูลเหตุคดีนี้สืบเนื่องจากในวันเกิดเหตุผู้ตายทะเลาะวิวาท ชกต่อยกับนายปริศนาบิดาจำเลย หลังจากนั้นผู้ตายขับรถจักรยานยนต์มาจอดที่หน้าบ้านนางพลอยต่อมามีจำเลยกับบิดาจำเลยและพวกหลายคนนั่งรถจักรยานยนต์ 4 คัน มาที่บ้านนางพลอยมีการพูดจาโต้เถียงกัน ผู้ตายถามจำเลยว่ามองอะไร จำเลยว่ามองเพื่อเอาเรื่องนายสาโรจน์พี่ชายจำเลยชักอาวุธปืนสั้นจ้องไปยังผู้ตายและพูดว่า “มึงสมควรตายก็ตายเสียเถอะ” ผู้ตายกระโดดลงจากรถจักรยานยนต์วิ่งหนีไปทางข้างบ้าน นายปริศนาและจำเลยถืออาวุธปืนวิ่งตามผู้ตายไป นายสาโรจน์และนายยุทธถืออาวุธปืนสั้นทั้งสองคนวิ่งตามไปอีกด้านหนึ่งของบ้านโดยมีนายประคิ่น นางยุพินและนางพรวิ่งตามไปด้วย ต่อมามีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด หลังจากนั้นประมาณ 2 นาที ก็ดังขึ้นอีก 2 นัด นางพลอย และชาวบ้านไปดูที่ป่าสวนยางหลังบ้านพบผู้ตายเสียชีวิตแล้ว หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจมาตรวจสถานที่เกิดเหตุและสอบปากคำนางพลอยไว้ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ นางพลอยและนางอำไพได้ไปชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้อง ร้อยตำรวจเอกประทีบ เทพกิจ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า หลังจากรับแจ้งเหตุแล้วได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุพบผู้ตายนอนตายอยู่ที่ป่าสวนยางหลังบ้านนางพลอย และพบมีดอีโต้ 1 เล่ม กระสุนปืนลูกปราย 1 เม็ด และรองเท้าแตะเปื้อนเลือด1 ข้าง จึงยึดไว้เป็นของกลาง จากการสอบสวนทราบว่าผู้ร่วมกระทำความผิดมีประมาณ 7 คน จึงออกหมายจับไว้ เมื่อจับจำเลยได้แล้วได้จัดให้นางพลอยและนางอำไพชี้ตัวจำเลย บุคคลทั้งสองชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้อง ตามบันทึกการดูตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.4 เห็นว่านางพลอยและนางอำไพพยานโจทก์ไม่เคยรู้จักและมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำจำเลยซึ่งคำเบิกความก็สอดคล้องต้องกันสมเหตุผล เชื่อว่า พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความตามความสัตย์จริง ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน นางพลอยและนางอำไพมีโอกาสเห็นจำเลยในระยะใกล้เป็นเวลานานประมาณ 5 นาที จำเลยพูดจาโต้เถียงกับผู้ตายมีลักษณะท่าทีขึงขัง ย่อมเป็นที่ดึงดูดความสนใจของพยานโจทก์ทั้งสอง จึงเชื่อได้ว่าพยานโจทก์ทั้งสองจดจำจำเลยได้และเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจัดให้ชี้ตัวจำเลยพยานโจทก์ทั้งสองก็ชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องคดีนี้แม้ว่าโจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะจำเลยและพวกฆ่าผู้ตายก็ตามแต่โจทก์มีพยานแวดล้อมเห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดก่อนผู้ตายถูกยิงจนถึงแก่ความตายโดยเห็นจำเลยและพวกโต้เถียงกับผู้ตายและชักอาวุธปืนจ้องจะยิงผู้ตาย เมื่อผู้ตายวิ่งหนี จำเลยและพวกถืออาวุธปืนวิ่งไล่ตามผู้ตายไปทันทีแล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด หลังจากนั้นประมาณ 2 นาที ก็ดังขึ้นอีก 2 นัด ระยะเวลาที่จำเลยและพวกถืออาวุธปืนวิ่งไล่ตามผู้ตายไปจนมีเสียงปืนดังขึ้นรวม 3 นัดดังกล่าวเป็นช่วงเวลาไม่นาน ซึ่งไม่พอที่จะทำให้ระแวงสงสัยได้ว่าจะมีผู้อื่นเข้ามาฆ่าผู้ตายในช่วงเวลานั้นจึงเชื่อว่าต้องเป็นจำเลยและพวกอย่างแน่แท้ที่ฆ่าผู้ตาย ทั้งเจ้าพนักงานตำรวจก็ตรวจพบมีดอีโต้ที่พวกจำเลยถือไปและรองเท้าแตะเปื้อนเลือด 1 ข้าง ของพวกจำเลยตกอยู่ในที่เกิดเหตุพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักแน่นแฟ้นฟังได้ว่า จำเลยและพวกร่วมกันฆ่าผู้ตายตามฟ้องจริงจำเลยนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ลงโทษจำเลยโดยลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 กึ่งหนึ่งแล้วจำคุก 10 ปีนั้น เห็นว่าหนักไป สมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี”
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 กึ่งหนึ่งแล้วลงโทษจำคุก 7 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9