แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องคดีแพ่งขอให้จำเลยชดใช้เงินของโจทก์ที่จำเลยยักยอกเอาไปตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2494 อันเป็นมูลความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำผิดและมีอายุความฟ้องร้อง 20 ปี ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 78(1) แต่ต่อมากฎหมายลักษณะอาญาได้ถูกยกเลิก และมีประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับแทน มูลความผิดของจำเลย ต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งใช้ในภายหลังและมีอัตราโทษก่อนแก้ไขเบากว่าอัตราโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 131 อันเป็นกฎหมายซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยซึ่งมีอายุความฟ้องร้อง 15 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(2) อายุความฐานละเมิดในทางแพ่งจึงต้องถืออายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(2) ดังบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง แม้จำเลยผู้ยักยอกจะยังมิได้ถูกฟ้องในคดีอาญาก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสอง เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญในแผนกคลังสังกัดสำนักงานเลขานุการกรม กรมการแพทย์ โจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าแผนกคลัง จำเลยที่ 2 เป็นประจำแผนกอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ปล่อยปละละเลยด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยที่ 2 ยักยอกเอาเงินของโจทก์ไป ขอให้จำเลยทั้ง 2 ชดใช้เงินที่ยักยอก และดอกเบี้ย
จำเลยทั้ง 2 ให้การปฏิเสธและตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ยังไม่เสร็จ จำเลยร้องขอให้ศาลชี้ขาดว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นสอบในเรื่องการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยทั้ง 2 โจทก์แถลงว่าคดียังอยู่ที่พนักงานสอบสวน ยังมิได้ฟ้องร้อง ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาว่า โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี ขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง สำหรับคดีอาญาโจทก์แถลงว่าอยู่ในระหว่างสอบสวนจะถืออายุความตามวรรค 2 แห่งมาตรานี้ไม่ได้เพราะศาลยังมิได้ชี้ขาดว่า ผู้ใดกระทำผิดให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ว่า คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ และจำเลยทั้ง 2 เป็นตัวแทนของโจทก์อายุความมีได้ถึง 10 ปี
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ขาดอายุความสำหรับจำเลยที่ 2 ในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายอาญา ยังไม่ขาดอายุความ ในข้อที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยมีฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ มิได้บรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งว่าเป็นตัวแทนอย่างไร ฟังไม่ขึ้น พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 ต่อไป
โจทก์ฎีกาว่า คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ยังไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 ได้ร่วมการทุจริตกับจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของโจทก์มีอายุความ 10 ปี
จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องจำเลยที่ 2 แล้ว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนับแต่วันทราบตัวผู้รับผิดเกิน 1 ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ แต่คดีเฉพาะจำเลยที่ 2 โจทก์กล่าวหาว่าได้ยักยอกเงินโจทก์ไปตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2494 อันเป็นมูลความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำผิดและมีอายุความฟ้องร้อง 20 ปี ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 78(1) แต่ต่อมากฎหมายลักษณะอาญาได้ถูกยกเลิกและมีประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับแทน มูลความผิดของจำเลยที่ 2 ต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งใช้ในภายหลัง และมีอัตราโทษก่อนแก้ไขเบากว่าอัตราโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131 อันเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งมีอายุความฟ้องร้อง 15 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(2) จึงต้องถืออายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(2) ดังที่ บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่ขาดอายุความฟ้องร้อง ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนโจทก์มีอายุความ 10 ปีนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามตำแหน่งหน้าที่ราชการ ไม่ใช่ตัวแทน ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ร่วมทุจริตกับจำเลยที่ 2 โจทก์ก็มิได้กล่าวในฟ้อง เพียงแต่กล่าวว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ยักยอกเอาเงินของโจทก์ไปเท่านั้น พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์