แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นฟ้องคดีซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลแขวงต่อศาลอาญา ศาลอาญาได้ไต่สวนมูลฟ้อง สั่งคดีมีมูลให้ประทับฟ้องและนัดสืบพยานโจทก์ไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(4) ตามที่แก้ไขแล้วศาลอาญาจะมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมโดยเห็นว่า สั่งไปเพราะผิดหลงเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลอีกหาได้ไม่(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2523)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลอาญาฐานกระทำความผิดต่อเสรีภาพ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 311, 83
ศาลอาญาไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งว่าคดีโจทก์มีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีอยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา โจทก์มิได้ขออนุญาตฟ้องคดีก่อน ศาลประทับฟ้องเพราะผิดหลง จึงสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิม และยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลอาญา ให้ศาลอาญาทำการพิจารณาคดีต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(4) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2520 มาตรา 7 บัญญัติให้อยู่ในดุลพินิจของศาลอาญา ที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่เกิดขึ้นนอกเขตของศาลอาญา แต่ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาได้ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลแขวงต่อศาลอาญา ศาลอาญาได้ไต่สวนมูลฟ้อง สั่งคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง และนัดสืบพยานโจทก์ไว้แล้ว ดังนี้ ย่อมถือว่าศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 14(4) ตามที่แก้ไขแล้ว ศาลอาญาจะมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมโดยเห็นว่า สั่งไปเพราะผิดหลงเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลอีกหาได้ไม่
พิพากษายืน