คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1215/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญามีข้อความว่า “ข้าพเจ้านายเลื่อน จ้อยสกุล….ได้มีที่ดิน 1 แปลง… โฉนดที่ 4233……ที่ดินรายนี้มีชื่อนายเลื่อนนายโก้จ้อยสกุลจะขอมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินรายนี้ให้นางปิ่นจ้อยสกุลซึ่งเป็นภรรยานายโก้ และนายเลื่อน จ้อยสกุลได้เอาเงินของนางปิ่นไป320บาท ที่ดินรายนี้ให้นางปิ่นเก็บกินได้ตั้งแต่วันทำสัญญา…” นั้น เป็นสัญญาจะซื้อขายที่ดินแก่กัน เพียงแต่ทำหนังสือกันเอง ก็ใช้ได้ตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายเลื่อน จ้อยสกุลบิดาจำเลยได้ทำหนังสือขายที่ดินส่วนของนายเลื่อนให้โจทก์ และรับเงินไปแล้ว แต่ยังไม่ได้โอนโฉนด นายเลื่อนตายเสียก่อนจำเลยเป็นผู้รับมรดกของนายเลื่อนได้ไปจัดการโอนรับมรดกและโอนกรรมสิทธิ์ส่วนของนายเลื่อนให้แก่โจทก์แต่ปรากฏว่าจำเลยยังไม่บรรลุนิติภาวะ เจ้าพนักงานจึงขีดฆ่ายกเลิกการโอนเสีย บัดนี้จำเลยบรรลุนิติภาวะ ไม่ไปจัดการโอนโจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของนายเลื่อนให้โจทก์ตามสัญญาซื้อขาย จำเลยให้การว่านายเลื่อนบิดาจำเลยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาขายที่ดินให้โจทก์ ลายมือชื่อในหนังสือสัญญาไม่ใช่ของนายเลื่อนแต่อย่างไรก็ตาม จำเลยขอคัดค้านว่าหนังสือซื้อขายตามฟ้อง เป็นหนังสือสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้ 3 ปากสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่าการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับนายเลื่อนเป็นการซื้อขายเด็ดขาด แต่ไม่ได้ทำหนังสือจดทะเบียน จึงใช้บังคับไม่ได้ แม้ภายหลังจำเลยจะยอมรับและจัดการโอนให้โจทก์ แต่เจ้าพนักงานได้ขีดฆ่ายกเลิกการโอนนั้นเสียแล้ว ผลเท่ากับไม่มีการจดทะเบียนพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องมีข้อความว่า “ข้าพเจ้านายเลื่อน จ้อยสกุล…ได้มีที่ดิน 1 แปลง…โฉนดที่ 4233…ที่ดินรายนี้มีชื่อนายเลื่อน นายโก้ จ้อยสกุล จะขอมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินรายนี้ให้แก่นางปิ่น จ้อยสกุลซึ่งเป็นภรรยานายโก้และนายเลื่อน จ้อยสกุลได้เอาเงินของนางปิ่นไป 320 บาท ที่ดินรายนี้ให้นางปิ่นเก็บกินได้ตั้งแต่วันทำสัญญา…” นี้เป็นสัญญาจะซื้อขายที่ดินแก่กัน ฉะนั้นเพียงแต่ทำหนังสือกันเองก็ใช้ได้ตามกฎหมายถ้าข้อเท็จจริงฟังได้สมฟ้อง โจทก์ก็มีสิทธิขอให้บังคับจำเลยตามฟ้องได้

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเสีย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป แล้วพิพากษาใหม่

Share