แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเช่าที่พิพาทมีค่าเช่าตามสัญญาในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละห้าพันบาท แม้โจทก์กล่าวในฟ้องว่าหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่ค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ในขณะยื่นฟ้อง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องไม่เกิน 50,000 บาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคแรก และวรรคสอง อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่จำเลยยื่นฎีกา.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 17927เนื้อที่ 34 ไร่ 1 งาน ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองโคน อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม จำเลยทั้งสองเช่าที่ดินดังกล่าวจากผู้มีชื่อก่อนผู้มีชื่อโอนขายให้โจทก์ เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกจากที่ดินที่เช่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายหากโจทก์นำที่ดินดังกล่าวไปให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายครอบครัวและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ห้ามเกี่ยวข้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 30,000 บาท กับค่าเสียหายเดือนละ 15,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่พิพาท ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันโจทก์ไม่มีสิทธินำไปออกโฉนด จำเลยที่ 1 เช่าที่พิพาทจากนายทวิเอื้อสุนทร โจทก์ไม่เคยครอบครองที่พิพาท ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาท ที่พิพาทให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 1,500 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายครอบครัวและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาทโฉนดเลขที่ 17927ตำบลคลองโคน อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงครามของโจทก์ ห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 30,000 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 15,000 บาท นับจากวันฟ้อง จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่พิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ได้ความตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดิน เอกสารหมาย จ.3 หรือ ล.1 ว่าจำเลยที่ 1 ตกลงเช่าที่พิพาทจากนายทวิเอื้อสุนทร เจ้าของเดิมในอัตราค่าเช่าปีละ 45,000 บาท หรือเดือนละ3,750 บาท คดีนี้จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท แม้โจทก์จะกล่าวมาในคำฟ้องด้วยว่าหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท ซึ่งโจทก์ได้ใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณเรียกค่าเสียหาย เงินจำนวน 15,000 บาท นั้นก็ไม่ใช่ค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ในขณะยื่นคำฟ้องและถือได้ว่าเป็นการเรียกค่าเช่าที่คำนวณเป็นค่าเสียหายเข้ามาด้วย อันเกี่ยวพันกับคดีฟ้องขับไล่เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องไม่เกิน 50,000 บาท ทั้งตามคำให้การของจำเลย จำเลยทั้งสองให้การว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หาได้ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยไม่ถือไม่ได้ว่าจำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก และวรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6 อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่จำเลยทั้งสองยื่นฎีกา ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินก็ดี ค่าเสียหายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้สูงเกินไปก็ดี ล้วนแต่เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสอง.