คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1214/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้วว่าโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในข้อหาใดบ้าง แล้วจึงถามคำให้การจำเลย ซึ่งจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง แสดงว่ารับสารภาพในทุกข้อหาที่โจทก์บรรยายในฟ้องและศาลอาจลงโทษจำเลยในทุกข้อหาดังกล่าวได้ ดังนี้ ศาลชั้นต้นไม่จำต้องถามจำเลยต่อไปอีกว่าจำเลยรับสารภาพในข้อหาใด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 4 และที่ 5 อีกฝ่ายหนึ่ง ได้เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้โดยต่างฝ่ายต่างร่วมกันทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นเหตุให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ได้รับอันตรายสาหัส และเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 295, 297(1) (8), 299 วรรคแรก
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องเป็นคดีใหม่ ส่วนจำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 4 และที่ 5มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 295, 297(1) (8), 299วรรคแรก ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(1) (8) อันเป็นบทหนัก จำคุกคนละ 8 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 4 ปี
จำเลยที่ 4 และที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 4 และที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 ลงโทษจำคุกคนละ6 เดือน จำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงให้จำคุกจำเลยที่ 4 และที่ 5 คนละ 3 เดือน
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าหลายข้อหาร่วมกันมา คือ เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส และร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย เมื่อจำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้องแล้ว ศาลชั้นต้นหาได้ถามจำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้ได้ความชัดเจนต่อไปไม่ว่าจำเลยที่ 4และที่ 5 ให้การรับสารภาพในข้อหาใดตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมาโดยที่ยังมิได้มีการถามจำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้ได้ความชัดเจนดังกล่าว จึงเป็นการมิชอบ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เกี่ยวกับการถามคำให้การจำเลยนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่าเมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลแล้วและศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้างคำให้การของจำเลยให้จดไว้ ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การ ก็ให้ศาลจดรายงานไว้ และดำเนินการพิจารณาต่อไปตามบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้ศาลถามจำเลยว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ และจะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง เมื่อจำเลยให้การก็ให้ศาลจดไว้ คดีนี้ศาลชั้นต้นได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้วว่าโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในข้อหาใดบ้าง แล้วจึงถามคำให้การจำเลยที่ 4 และที่ 5 ซึ่งจำเลยทั้งสองก็ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้องแสดงว่ารับสารภาพในทุกข้อหาตามที่โจทก์บรรยายในฟ้อง และศาลอาจลงโทษจำเลยในทุกข้อหาดังกล่าวได้ ดังนี้ศาลชั้นต้นไม่จำต้องถามจำเลยทั้งสองต่อไปอีกว่า จำเลยทั้งสองรับสารภาพในข้อหาใดศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการนี้ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่ขอให้ลงโทษในสถานเบา และรอการลงโทษให้แก่จำเลยด้วยนั้น เห็นว่าศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจกำหนดโทษ กับให้ลงโทษจำเลยที่ 4 และที่ 5 โดยไม่รอการลงโทษ เป็นการเหมาะสมแก่สภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เหตุต่าง ๆ ที่จำเลยอ้างมาว่าจำเลยรับจ้างเป็นลูกจ้างประจำแห่งกองทัพอากาศผู้บังคับบัญชามีหนังสือรับรองความประพฤติ ไม่เคยกระทำผิดมาก่อนและฝ่ายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มีมากกว่านั้น ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวได้ฎีกาของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.

Share