แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ฟ้องขอไถ่ที่นาซึ่งขายฝากแก่จำเลยไว้เป็นราคา 2,200 บาทจำเลยแก้ว่าตามสัญญาขายฝากเมื่อพ้นกำหนด 7 ปีให้ที่เป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยโจทก์ได้ขอไถ่ถอนเมื่อพ้นกำหนดแล้ว จึงไม่มีอำนาจถอน ดังนี้ เป็นคดีพิพาทเรื่องการไถ่ถอนซึ่งกำหนดเป็นราคาเงินได้เกินกว่า 2,000 บาท ไม่เป็นคดีต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 31/2491)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าได้ขายฝากที่นาไว้แก่จำเลยเป็นเงิน 2,200 บาท ต่ออำเภอ มีกำหนดไถ่ถอน 7 ปี แต่การครอบครองอยู่แก่โจทก์ โดยโจทก์ทำนาส่งข้าวให้จำเลยต่างดอกเบี้ย ก่อนครบกำหนดไถ่ถอนโจทก์ไปขอไถ่คืนจากจำเลย ๆ ไม่ยอมจึงขอให้จำเลยรับไถ่ถอนหรือยกเลิกเพิกถอนสัญญาขายฝาก จำเลยให้การว่า ตามสัญญาขายฝากว่า เมื่อพ้น 7 ปี ให้ที่เป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ ๆ ขอไถ่ถอนเมื่อพ้นกำหนดแล้ว และจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท
ศาลชั้นต้นฟังว่าก่อนครบกำหนด 7 ปีโจทก์ไม่ไปไถ่ถอนที่พิพาทเป็นสิทธิแก่จำเลยแล้ว จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองพิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเรื่องการไถ่ถอน ซึ่งกำหนดเป็นราคาเงินได้ เกินกว่า 2,000 บาท ไม่เป็นคดีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ส่วนเรื่องการขอให้ไถ่ที่ขายฝากก่อนครบกำหนดหรือภายหลังกำหนดเวลาไถ่นั้น ศาลชั้นต้นเชื่อฟังคำนายเรือนเป็นหลานของโจทก์โดยเห็นว่าเป็นคนกลาง ศาลอุทธรณ์เห็นว่านายเรือนเป็นหลานของโจทก์มิใช่คนกลาง ไม่มีน้ำหนักจะฟังโจทก์กล่าวในฎีกาว่าจำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านในข้อที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนั้นตามข้อนี้ ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยนั้น เห็นว่าจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยพิพากษาว่า โจทก์ไม่ปฏิบัติการตามกฎหมาย จึงไม่มีสิทธิไถ่ถอน และที่พิพาทตกเป็นสิทธิแก่จำเลย ให้ยกฟ้อง โจทก์เป็นฝ่ายอุทธรณ์ คดีนี้มิใช่คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงไม่ใช่คดีที่จะอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริง ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย จึงมีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้
พิพากษายืน