คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12094/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่โจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาล โจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสี่ซึ่งอยู่ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยละเมิดสิทธิของโจทก์ แม้ภายหลังฟ้องคดีแล้ว โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่บุคคลอื่นไปแล้ว อำนาจฟ้องของโจทก์ที่บริบูรณ์อยู่แล้วยังคงมีผลอยู่ต่อไป อีกทั้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีผลผูกพันจำเลยทั้งสี่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง กับไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้สิทธิในการบังคับคดีของโจทก์ต้องระงับสิ้นไป เมื่อจำเลยทั้งสี่ซึ่งแพ้คดีมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่และบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 9392 และ 31476 ตำบลสีลม (สาธร) อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ เลขที่ 731 และ 733 ถนนสีลมเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร และส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างในสภาพเรียบร้อยคืนแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2546) จนกว่าจะส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอบังคับคดี ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2550 และในวันเดียวกันจำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องว่า คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ต่อมาวันที่ 12 ตุลาคม 2550 จำเลยทั้งสี่ตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร พบว่าโจทก์ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9392 และ 31476 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารพาณิชย์เลขที่731 และ 733 ให้แก่นายกฤษนันท์ ไปเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอีกต่อไป ไม่มีสิทธิขอให้บังคับคดีขับไล่จำเลยทั้งสี่ ขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุเพิกถอนหมายบังคับคดี ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นได้ความว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสี่และบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 9392 และ 31476 ตำบลสีลม (สาธร) อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานคร กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โดยไม่มีการขอทุเลาการบังคับคดี จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์จึงขอบังคับคดีศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2550 แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่10 พฤศจิกายน 2549 โจทก์ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นายกฤษนันท์ ไปแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่าโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีขับไล่จำเลยทั้งสี่และบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทได้หรือไม่ เห็นว่า ขณะที่โจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาล โจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาท โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสี่ซึ่งอยู่ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยละเมิดสิทธิของโจทก์ แม้ภายหลังฟ้องคดีแล้ว โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทให้แก่บุคคลอื่นไปแล้วก็ตาม แต่อำนาจฟ้องของโจทก์ที่บริบูรณ์อยู่แล้วก็ยังคงมีผลอยู่ต่อไป อีกทั้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย จึงมีผลผูกพันจำเลยทั้งสี่อยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบกับไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้สิทธิในการบังคับคดีของโจทก์ต้องระงับสิ้นไปด้วย เมื่อจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาท กับชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงชอบที่จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะต้องเพิกถอนการบังคับคดี ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสี่มานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share