คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1209/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2531โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้เงิน2 ฉบับ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2518 ไม่มีกำหนดเวลาชำระเงินคืนมีจำเลยที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกันตามสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง จำเลยทั้งห้ายื่นคำให้การแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่2 มีนาคม 2532 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังวันชี้สองสถาน จำเลยทั้งห้าได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเพิ่มข้อต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ใช้สิทธิเรียกร้องภายใน 10 ปี ดังนี้เห็นได้ว่าวันที่โจทก์ยื่นฟ้องและวันที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1กู้เงินโจทก์ปรากฏอยู่ในฟ้องแล้ว และจำเลยทั้งห้าทราบมาแต่แรกที่ได้รับสำเนาฟ้องแล้วว่าการกู้เงินตามที่กล่าวในฟ้องเป็นการกู้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระเงินคืน ซึ่งอายุความฟ้องร้องย่อมเริ่มนับทันทีที่โจทก์ให้กู้ไป จึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งห้าอาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเพื่อเพิ่มเติมข้อต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความได้ก่อนวันชี้สองสถาน แม้จำเลยทั้งห้าจะยังไม่ได้รับสำเนาสัญญากู้เงินจากโจทก์ก็ตาม ข้อเท็จจริงที่จำเลยอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความก็ปรากฏอยู่ในคำฟ้องก่อนวันชี้สองสถานแล้ว จำเลยทั้งห้าหาจำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องจากสำเนาสัญญากู้แต่อย่างใดไม่ทั้งเรื่องที่ขอแก้ไขคำให้การนี้ก็ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเพื่อให้มีข้อต่อสู้เกี่ยวกับอายุความภายหลังวันชี้สองสถาน จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกคำร้องนั้นเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 วรรคสอง (เดิม) ตามฟ้องโจทก์ปรากฏอยู่แล้วว่า โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยทั้งห้าตามสัญญากู้เงิน 2 ฉบับ เป็นเงิน 544,600 บาท และสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้กู้ได้ชำระหนี้บางส่วนแล้วคงค้างอยู่ในวันคิดบัญชีคือวันที่ 4 พฤศจิกายน 2531เป็นต้นเงิน 164,000 บาท และดอกเบี้ย 150,564.09 บาทดังนี้ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายแจ้งชัดแล้วว่า หนี้ต้นเงินจำนวน164,600 บาท ที่ค้างชำระคิดมาจากยอดหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ทั้งสองฉบับดังกล่าว และการกล่าวถึงดอกเบี้ยก็เข้าใจได้อยู่แล้วว่าหมายถึงดอกเบี้ยของต้นเงินที่ค้างชำระอยู่ดังกล่าวโดยนับถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2531 นั่นเองส่วนรายละเอียดในการคิดบัญชีนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา คำฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้วจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ได้แสดงความจำนงอ้างสัญญากู้เป็นพยานโดยยื่นบัญชีระบุพยานตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคแรกแล้ว แต่ในการสืบพยาน โจทก์มิได้ส่งสำเนาสัญญากู้ดังกล่าวให้จำเลยทั้งห้าก่อนวันสืบพยานอย่างน้อย 3 วันดังที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 90(เดิม) อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของมาตราดังกล่าว ก็ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ ดังนี้ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารสัญญากู้ดังกล่าวได้ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งห้าแก้ไขคำให้การในข้อที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้วซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยจึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นเรื่องอายุความตามที่จำเลยทั้งห้าฎีกาขึ้นมา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2518 จำเลยที่ 1ได้กู้เงินโจทก์ไป 2 ครั้ง เป็นเงิน 544,600 บาท ตามสัญญากู้เงิน2 ฉบับ ฉบับแรกจำนวน 499,600 บาท และฉบับที่ 2 จำนวน 45,000 บาทดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ไม่มีกำหนดเวลาชำระเงินคืนจำเลยที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหลังจากรับเงินไป จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนและเมื่อคิดบัญชีในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2531 แล้ว จำเลยที่ 1เป็นหนี้เงินต้นอยู่ 164,600 บาท กับดอกเบี้ยย้อนหลังไป 5 ปีเป็นเงิน 150,564.09 บาท โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งห้าให้ชำระแล้วแต่จำเลยทั้งห้าไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าชำระเงินจำนวน315,164.09 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้น 164,600 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กู้เงินและไม่เคยรับเงินจากโจทก์ ไม่เคยทำหนังสือสัญญากู้ แต่เคยขายลดเช็คกับโจทก์และเป็นหนี้โจทก์อยู่ 400,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้นั้นแล้ว การขายลดเช็คมีสภาพเหมือนการกู้ยืมเงิน โจทก์ไม่ได้ส่งสัญญากู้หรือเช็คมาพร้อมกับคำฟ้อง จำเลยที่ 4 และที่ 5 ไม่เคยค้ำประกันจำเลยที่ 1 คำฟ้องเคลือบคลุม เพราะไม่บรรยายว่าหนี้เงินต้นจำนวน 164,600 บาท โจทก์คิดมาจากยอดหนี้ใดตามหลักฐานอะไร และดอกเบี้ยอีก 150,564.09 บาท โจทก์คิดจากเงินต้นจำนวนเท่าใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ชำระเงิน315,164.09 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน164,600 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ชำระแทน
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ร่วมกันชำระเงินจำนวน 306,403.71 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 159,600 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ชำระแทน
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อแรกตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าที่ต้องวินิจฉัยคือ ข้อที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งห้าแก้ไขคำให้การเพื่อเพิ่มข้อต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง ข้อนี้เห็นว่า โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 4พฤศจิกายน 2531 โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้เงิน 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2518 ไม่มีกำหนดเวลาชำระเงินคืน มีจำเลยที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกันตามสำเนาบัญชีค้ำประกันท้ายฟ้อง จำเลยทั้งห้ายื่นคำให้การแล้วต่อมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2532 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังวันชี้สองสถานจำเลยทั้งห้าได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเพิ่มข้อต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ใช้สิทธิเรียกร้องภายใน 10 ปีดังนี้ เห็นได้ว่าวันที่โจทก์ยื่นฟ้องและวันที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ปรากฏอยู่ในฟ้องแล้ว และจำเลยทั้งห้าทราบมาแต่แรกที่ได้รับสำเนาฟ้องแล้วว่าการกู้เงินตามที่กล่าวในฟ้องเป็นการกู้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระเงินคืน ซึ่งอายุความฟ้องร้องย่อมเริ่มนับทันที่ที่โจทก์ให้กู้ไป จึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งห้าอาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเพื่อเพิ่มเติมข้อต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความได้ก่อนวันชี้สองสถาน แม้จำเลยทั้งห้าจะยังไม่ได้รับสำเนาสัญญากู้เงินจากโจทก์ก็ตาม ข้อเท็จจริงที่จำเลยอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความก็ปรากฏอยู่ในคำฟ้องก่อนวันชี้สองสถานแล้ว จำเลยทั้งห้าหาจำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องจากสำเนาสัญญากู้แต่อย่างใดไม่ ทั้งเรื่องที่ขอแก้ไขคำให้การนี้ก็ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเพื่อให้มีข้อต่อสู้เกี่ยวกับอายุความภายหลังวันชี้สองสถาน จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกคำร้องนั้นเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180 วรรคสอง (เดิม)
ปัญหาข้อที่ 2 คือข้อที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ปรากฏอยู่แล้วว่า โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยทั้งห้าตามสัญญากู้เงิน 2 ฉบับ เป็นเงิน 544,600 บาทและสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้กู้ได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว คงค้างอยู่ในวันคิดบัญชีคือวันที่ 4 พฤศจิกายน 2531เป็นต้นเงิน 164,600 บาท และดอกเบี้ย 150,564.09 บาท ดังนี้ฟ้องโจทก์ได้บรรยายแจ้งชัดแล้วว่า หนี้ต้นเงินจำนวน 164,600 บาทที่ค้างชำระคิดมาจากยอดหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ทั้งสองฉบับดังกล่าวและการกล่าวถึงดอกเบี้ยก็เข้าใจได้อยู่แล้วว่าหมายถึงดอกเบี้ยของต้นเงินที่ค้างชำระอยู่ดังกล่าวโดยนับถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน2531 นั่นเอง ส่วนรายละเอียดในการคิดบัญชีนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา คำฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ปัญหาข้อที่ 3 คือข้อที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจรับฟังสัญญากู้เอกสารหมาย จ.5และ จ.6 เป็นพยานหลักฐานได้ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องข้อนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ได้แสดงความจำนงอ้างสัญญากู้เอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 เป็นพยานโดยยื่นบัญชีระบุพยานตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคแรกแล้วแต่ในการสืบพยาน โจทก์มิได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6ให้จำเลยทั้งห้าก่อนวันสืบพยานอย่างน้อย 3 วัน ดังที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 (เดิม) อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ศาลชั้นต้นเห็นว่า สัญญากู้เอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานนั้น จึงรับฟังเอกสารดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีที่มีการนำสืบพยานเอกสารโดยมิได้ส่งสำเนาเอกสารนั้นให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้น มีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2) บัญญัติว่า พยานเอกสารที่จะรับฟังได้นั้นคู่ความฝ่ายที่นำสืบจะต้องได้ส่งสำเนาเอกสารนั้นให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งล่วงหน้ามีกำหนดเวลาตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 90 (เดิม) แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของมาตราดังกล่าว ก็ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ ดังนี้ ในกรณีที่กล่าวข้างต้นศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ จึงถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
ปัญหาข้อที่ 4 คือข้อที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า จำเลยทั้งห้าไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1ได้กู้เงินโจทก์และจำเลยที่ 4 กับที่ 5 ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ ในข้อนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์ตามจำนวนและในอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์ฟ้องแล้วเอาเงินที่กู้มานั้นชำระหนี้ที่ติดค้างโจทก์อยู่ตามสัญญาขายลดเช็ค ทำให้หนี้ตามสัญญาขายลดเช็คหมดไป และในการกู้เงินนั้น จำเลยที่ 4 กับที่ 5 ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์จริง และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์2 จำนวน รวมเป็นเงิน 544,600 บาท โดยตกลงเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี การที่จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 400,000 บาทเศษ ตามสำเนาใบเสร็จรับเงิน 22 ฉบับเอกสารหมาย จ.7 นั้น จึงหาพอแก่จำนวนหนี้ไม่ และการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นการทยอยชำระเป็นงวด งวดละ 10,000 บาท ถึง 20,000 บาทตั้งแต่ปี 2519 จนถึงปี 2529 แม้จะเป็นการชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย ก็มีผลเพียงทำให้จำนนหนี้ลดลงเท่านั้นหาได้เป็นการชำระหนี้จนครบถ้วนไม่ จำเลยที่ 1 คงค้างชำระต้นเงินจำนวน159,600 บาท และดอกเบี้ย 146,803.71 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น306,403.71 บาท
ปัญหาข้อสุดท้าย คือข้อที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า จำเลยทั้งห้าไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่รับวินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความ ขอให้ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นเรื่องอายุความต่อไป ข้อนี้เห็นว่าในเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งห้าแก้ไขคำให้การในข้อที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้วและโดยที่คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งห้าแก้ไขคำให้การให้มีการต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ดังได้วินิจฉัยมาแล้วในข้อแรก จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นเรื่องอายุความตามที่จำเลยทั้งห้าฎีกาขึ้นมา
พิพากษายืน

Share