แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เป็นเพียงเจ้าของหอพักที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์เช่าอยู่และเป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปเพื่อธุระของตนเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลผู้รับดูแลจำเลยที่ 1 ไว้ตามความหมายในมาตรา 430 แห่ง ป.พ.พ.เพราะเจ้าของหอพักมีหน้าที่เพียงดำเนินการกิจการหอพักและควบคุมการเข้าพักในหอพักเท่านั้น จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในการละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำลงไปนั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์อายุ 18 ปีอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ นายจ้างและผู้รับอุปการะดูแลจำเลยที่ 1 อยู่เป็นนิตย์ นอกจากนี้จำเลยที่ 2ยังเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคล หมายเลขทะเบียน ม-0149 สุโขทัยและเป็นตัวการใช้ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างและตัวแทนขับรถยนต์คันดังกล่าวไปในทางการที่ว่าจ้าง จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ไปตามถนนจรดวิถีถ่อง ถึงทางโค้งซึ่งมีเส้นทึบแบ่งช่องเดินรถแสดงการห้ามแซง ด้วยความประมาทจำเลยที่ 1 ได้ขับรถด้วยความเร็วสูงแซงรถยนต์โฆษณาภาพยนตร์ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถสวน ซึ่งขณะนั้นโจทก์ได้ขับรถจักรยานยนต์สวนทางมา เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยที่ 1ขับไปชนกับรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับมา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าอุปกรณ์ขาเทียม6,300 บาท และค่าสินไหมทดแทน 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของจำเลยที่ 3 และที่ 4 จำเลยที่ 3 และที่ 4 ส่งจำเลยที่ 1 ไปศึกษาที่วิทยาลัยเทคนิคสุโขทัยโดยไปเช่าหอพักอยู่ จำเลยที่ 1ไม่ได้อยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นครูบาอาจารย์ ผู้อุปการะ นายจ้าง และผู้จ้างวานใช้ให้จำเลยที่ 1ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ เหตุที่รถเกิดชนกันเป็นเพราะความประมาทของโจทก์ จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องคดีอาญาในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทได้ชำระเงินให้โจทก์ไปแล้ว 20,000 บาท จึงไม่มีหนี้สินต่อกันอีกฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินให้โจทก์จำนวน 55,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้เป็นครูบาอาจารย์หรือนายจ้างของจำเลยที่ 1 แต่พฤติการณ์ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้รับดูแลจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ และใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุของตนไปทำงานให้แก่ตน เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถดังกล่าวไปทำละเมิดโจทก์ จึงเป็นการกระทำในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลยที่ 2เป็นการมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 430พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาขึ้นสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาเพียงว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลซึ่งรับดูแลจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 430 หรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นเรื่องตัวการผู้ใช้ให้กระทำ ลูกจ้างนายจ้าง ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์อายุ 18 ปี กำลังศึกษาอยู่ในวิทยาลัยเทคนิคสุโขทัยและเช่าหอพักของจำเลยที่ 2 อยู่ จำเลยที่ 2 เคยใช้ให้จำเลยที่ 1ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปทำธุระให้ วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 นำแป๊ปน้ำไปซ่อมที่ร้านในตลาดอำเภอเมืองสุโขทัย โดยจำเลยที่ 2 มิได้ควบคุมมาด้วยระหว่างรอซ่อมแป๊ปน้ำจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์เลยไปบ้านเพื่อน ขณะขับรถกลับจากบ้านเพื่อ รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับได้เกิดชนกับรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับสวนมาทำให้โจทก์เสียหายรับอันตรายสาหัสขาซ้ายขาดเหนือเข่า หน้าเสียโฉมติดตัวนิ้วก้อยมือซ้ายขาดเหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นเพียงเจ้าของหอพักที่จำเลยที่ 1เช่าอยู่และเป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปเพื่อกิจธุระของตนเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลผู้รับดูแลจำเลยที่ 1 ไว้ตามความหมายในมาตรา 430 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะเจ้าของหอพักมีหน้าที่เพียงดำเนินการกิจการหอพักและควบคุมการเข้าพักในหอพักเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับดูแลจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 430 และพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.