คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยได้ทำสัญญากันว่า จำเลยจะขายโรงเรือนพิพาทเป็นเงิน 42000 บาทแก่โจทก์ โดยจะไปโอนกรรมสิทธิ์กันตามกฎหมาย เมื่อได้ชำระเงินเสร็จแล้ว ในวันทำสัญญาชำระเงิน 12000 บาทภายในสิ้นเดือนกรกฎา,สิงหา,และกันยาศกนั้น ชำระอีกงวดละหมื่นบาท และมีเงื่อนไขว่าถ้านายหมาจั๊วผู้เช่าไม่สามารถจะใช้เรือนโรงนี้ประกอบการค้าฝิ่นจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม จำเลยจะยอมซื้อคืนด้วยราคาเดิม โดยระหว่างนั้นจำเลยถูกเจ้าของที่ฟ้องขับไล่เรือนโรงรายนี้อยู่ ดังนี้ สัญญานี้จึงเป็นสัญญาจะขาย ไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อเรือนโรง จากจำเลยเป็นเงิน 42,000 บาท จะได้โอนกรรมสิทธิ์กันเมื่อใช้เงินเสร็จ โจทก์ได้จ่ายเงินไปแล้ว 22,000 บาท ต่อมาจำเลยได้รื้อโรงเรือนออกหมด จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินพร้อมทั้งดอกเบี้ย จำเลยต่อสู้ว่าสัญญาที่โจทก์อ้างเป็นสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ไม่ส่งเงินตามกำหนด 2 งวด ติด ๆ กัน จำเลยมีสิทธิริบเงินที่โจทก์ชำระมาแล้ว ศาลชั้นต้นสอบจำเลยบางประการ แล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญารายนี้เป็นสัญญาจะขาย ซึ่งจำเลยได้ทำให้ไว้แก่โจทก์อย่างชัดเจน คือตกลงจะขายโรงเรือนนี้เป็นเงิน 42,000 บาท จะไปโอนกรรมสิทธิ์กันตามกฎหมายเมื่อได้ชำระเงินกันเสร็จแล้ว ในวันทำสัญญาชำระเงิน 12,000 บาท ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม, สิงหาคม และกันยายน ศกนั้นชำระอีกงวดละหมื่นบาท และมีเงื่อนไขว่า ถ้านายหมาจั๊วผู้เช่าไม่สามารถจะใช้เรือนโรงประกอบการค้าฝิ่นจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม จำเลยจะยอมซื้อคืนด้วยราคาเดิมโดยในระหว่างนั้นจำเลยถูกเจ้าของที่ฟ้องขับไล่เรือนโรงรายนี้อยู่ไม่มีข้อความหรือลักษณะเป็นสัญญาเช่าซื้อดังจำเลยอ้าง ส่วนข้อเท็จจริงฟังได้ความเช่นเดียวกับศาลล่าง

พิพากษายืน

Share