แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้ามาทำนาในที่ของโจทก์อันเป็นที่นามือเปล่าจำเลยให้การว่าที่เป็นของจำเลยให้บุตรจำเลย ซึ่งเป็นสามีโจทก์อาศัยทำกินเมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่รายพิพาทในขณะนี้ ดังนี้เมื่อโจทก์อ้างว่าตนเป็นเจ้าของก็ต้องนำสืบก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ 18 ปีมานี้โจทก์และนายอิ่มสามีได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทจนนายอิ่มตาย จำเลยได้บุกรุกเข้าแย่งสิทธิครอบครองทำนาของโจทก์ โจทก์ห้ามแล้ว จำเลยไม่เชื่อฟัง จึงขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าที่พิพาทจำเลยให้นายอิ่มบุตรอาศัยทำกินมา 30 ปีแล้ว นายอิ่มตายจำเลยต้องการเอาที่นาคืน และได้แจ้งความประสงค์ให้โจทก์และทายาทนายอิ่มทราบ ไม่มีใครคัดค้าน จำเลยจึงเข้าทำนา
โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่าที่พิพาทเป็นที่นามือเปล่าและรับกันในข้อเท็จจริงกันบางประการแล้ว ไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของที่พิพาทโจทก์ต้องนำสืบ เพราะรับกันว่าฝ่ายจำเลยเป็นผู้ครอบครองนา แต่ในขณะนี้ แม้จะยังไม่ถึง 1 ปี จำเลยก็อ้างว่าโจทก์คืนการครอบครองให้จำเลย จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองทันที จึงพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า หน้าที่นำสืบตกแก่จำเลย หาใช่หน้าที่ของโจทก์ไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องคำให้การจำเลย และคำแถลงรับของโจทก์ จำเลย ปรากฏว่า จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่นารายพิพาทในขณะนี้ และจำเลยได้ต่อสู้ว่าที่นาเป็นของจำเลยแต่ต้น โจทก์ไม่เคยเป็นเจ้าของเลย ดังนี้เมื่อโจทก์อ้างว่าตนเป็นเจ้าของ ก็มีหน้าที่ต้องนำสืบ เมื่อไม่สืบก็ไม่มีทางชนะคดี
พิพากษายืน