แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องของโจทก์บรรยายเข้าใจได้ว่า อ. กับพวกได้สมคบกับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้กลอุบายทำการฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ โดยนำโฉนดที่ดินปลอมไปแลกเปลี่ยนกับโฉนดที่ดินฉบับที่แท้จริงของโจทก์ แล้วมอบให้เจ้าพนักงานที่ดินผู้มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยทำให้โจทก์เสียหายเพราะโจทก์มิได้ยินยอมและมิได้รับเงินค่าขายที่ดินจากจำเลย โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนนั้นเสีย คำฟ้องของโจทก์เช่นนี้เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่ว่านั้น รวมทั้งคำขอบังคับที่จำเลยสามารถเข้าใจได้ดีแล้ว จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว โจทก์ถูกฉ้อฉลหลอกลวงให้ขายที่ดินพิพาทโดยที่โจทก์ยังมิได้รับเงินค่าขายที่ดิน และมิได้รู้เห็นหรือยินยอมให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยการจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทของเจ้าพนักงานที่ดินให้แก่จำเลยย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ชอบที่จะฟ้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากัน โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 155853เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 42 ตารางวา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 155853 เนื้อที่ 500 ตารางวาคืนให้แก่โจทก์ที่ 1 หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสามเพื่อให้โจทก์ที่ 1เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแต่ผู้เดียว และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียค่าธรรมเนียมการโอน ค่าภาษีเงินได้และค่าใช้จ่ายอื่นที่จะต้องเสียอันเนื่องจากการจดทะเบียนโอนที่ดินคืนให้แก่โจทก์ที่ 1 ดังกล่าว
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามซื้อที่ดินจากโจทก์ที่ 1โดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและได้ทำการจดทะเบียนเรียบร้อยแล้วย่อมได้กรรมสิทธิ์จำเลยทั้งสามไม่ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่นายอุดมกับพวกหลอกลวงโจทก์ทั้งสอง เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองจะต้องไปดำเนินการแก่นายอุดมกับพวกเอง เพราะได้ชำระค่าที่ดินให้แก่โจทก์ที่ 1 ไปแล้ว ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 155853 เนื้อที่ 500 ตารางวา คืนแก่โจทก์ที่ 1หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม และถ้าการจดทะเบียนโอนที่ดินคืนแก่โจทก์ที่ 1จำต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมและค่าภาษีหรือค่าใช้จ่ายอื่นใด ให้จำเลยทั้งสามรับผิดเป็นผู้ชำระทั้งสิ้น
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการแรกว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุมหรือไม่ในปัญหานี้จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เมื่ออ่านแล้วเข้าใจได้ว่าโจทก์ทั้งสองประสงค์จะฟ้องนายอุดมกับพวกเท่านั้นไม่ได้ประสงค์จะฟ้องจำเลยทั้งสาม อีกทั้งฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่มีข้อความตอนใดชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามมีส่วนร่วมในการหลอกลวงโจทก์ทั้งสองจนเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามได้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินของโจทก์ที่ 1 แม้ในตอนท้ายของคำฟ้องจะระบุว่าจำเลยทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ที่ 1 ด้วยโจทก์ทั้งสองก็มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกับนายอุดมและพวกทำการฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ทั้งสองอย่างไรด้วยวิธีใด เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามไม่สามารถให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้อง เห็นว่า โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องความว่า นายอุดมกับพวกได้ไปติดต่อโจทก์ทั้งสองเพื่อขอซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 155853ของโจทก์ที่ 1 เมื่อโจทก์ที่ 1 ตกลงขายที่ดินแปลงดังกล่าวจำนวน 500 ตารางวา ในราคาตารางวาละ 160,000 บาท นายอุดมกับพวกได้นัดหมายให้โจทก์ทั้งสองไปที่สำนักงานที่ดินเพื่อทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อ ครั้นถึงวันนัดโจทก์ทั้งสองได้ไปยังสำนักงานที่ดินตามนัด โจทก์ที่ 1ได้มอบโฉนดที่ดินที่จะขายพร้อมหลักฐานที่ใช้ประกอบการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งของโจทก์ที่ 1 และของโจทก์ที่ 2 ให้แก่เจ้าพนักงานที่ดินไปดำเนินการจดทะเบียนในระหว่างที่โจทก์ทั้งสองรอผู้ซื้ออยู่ที่สำนักงานที่ดินแห่งนั้น นายอุดมกับพวกได้หลอกลวงโจทก์ทั้งสองว่าผู้ซื้อไปรอโจทก์ทั้งสองอยู่ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาพลับพลาไชย เพื่อจ่ายเงินค่าซื้อที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองให้โจทก์ทั้งสองเดินทางไปรับเงินค่าขายที่ดินที่ธนาคารดังกล่าวและก่อนที่โจทก์ทั้งสองจะเดินทางไป นายอุดมกับพวกได้นำโฉนดที่ดินซึ่งอ้างว่าเป็นโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 มาคืนให้โจทก์ทั้งสองอ้างว่าให้โจทก์ทั้งสองยึดถือโฉนดที่ดินฉบับนั้นไว้ก่อนเพื่อให้โจทก์ทั้งสองมั่นใจว่าในระหว่างที่โจทก์ทั้งสองไปรอรับเงินที่ธนาคารจะยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้ซื้อ โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อจึงเดินทางไปยังธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาพลับพลาไชย พร้อมกับนายอุดมกับพวก โจทก์ทั้งสองรอผู้ซื้ออยู่ที่ธนาคารแห่งนั้นจนถึงเวลา 15 นาฬิกา ก็ยังไม่พบผู้ซื้อ ส่วนนายอุดมและพวกได้หลบหนีไป โจทก์ทั้งสองจึงเดินทางไปที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาห้วยขวาง อีกครั้งหนึ่งโจทก์ทั้งสองทราบจากเจ้าพนักงานที่ดินแห่งนั้นว่าได้มีการจดทะเบียนโอนขายที่ดินของโจทก์ที่ 1 ให้แก่จำเลยทั้งสามแล้วส่วนโฉนดที่ดินฉบับที่นายอุดมกับพวกนำมาให้โจทก์ทั้งสองยึดถือไว้เป็นโฉนดที่ดินปลอมโจทก์ทั้งสองเชื่อว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกับนายอุดมและพวกทำการฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ทั้งสองด้วยการทำโฉนดที่ดินปลอมขึ้นแล้วนำมาสับเปลี่ยนกับโฉนดที่ดินฉบับที่แท้จริงของโจทก์ที่ 1 แล้วร่วมกันนำโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยทั้งสามจึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามและจดทะเบียนโอนคืนให้แก่โจทก์ที่ 1 ดังเดิม คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองที่ว่านี้จะเห็นได้ว่าโจทก์ทั้งสองบรรยายให้เข้าใจได้ว่านายอุดมกับพวกได้สมคบกับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้กลอุบายทำการฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ทั้งสองโดยนำโฉนดที่ดินปลอมไปแลกเปลี่ยนกับโฉนดที่ดินฉบับที่แท้จริงของโจทก์ที่ 1 แล้วมอบให้เจ้าพนักงานที่ดินผู้มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยทั้งสาม ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหายเพราะโจทก์ทั้งสองมิได้ยินยอมและมิได้รับเงินค่าขายที่ดินจากจำเลยทั้งสามโจทก์ทั้งสองจึงฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนนั้นเสียคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่ว่านั้นรวมทั้งคำขอบังคับที่จำเลยทั้งสามสามารถเข้าใจได้ดี เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการต่อมาคือคดีมีเหตุต้องเพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินของโจทก์ที่ 1ที่เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยทั้งสามหรือไม่ในปัญหานี้จำเลยทั้งสามฎีกาว่า จำเลยทั้งสามซื้อที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 โดยสุจริตและจดทะเบียนการโอนโดยสุจริต โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอน ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้โจทก์ทั้งสองนำสืบสรุปความได้ว่า เหตุที่โจทก์ที่ 1 ต้องการขายที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 ก็เนื่องมาจากนายอุดม ใจสุขกับนายประเสริฐและนายเปาไปหลอกลวงโจทก์ทั้งสองเมื่อเดือนกันยายน 2536 ว่านายอุดม นายประเสริฐและนายเปาจะเป็นนายหน้าขายที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 ให้แก่ชาวต่างประเทศในราคาตารางวาละ 160,000 บาท เป็นเงิน 80,000,000 บาทจนโจทก์ทั้งสองหลงเชื่อและได้มีการนัดวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และชำระเงินค่าซื้อกันที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาห้วยขวางในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2536 ครั้นเช้าวันนัดนายประเสริฐมารับโจทก์ทั้งสองจากบ้านของโจทก์ทั้งสองไปพบนายอุดมที่โรงแรมสุดาพาเลชที่สะพานควายอ้างว่าเพื่อรอพบผู้ซื้อแต่ก็ไม่ได้พบจนกระทั่ง 9 นาฬิกา วันนั้น นายอุดมและนายประเสริฐได้พาโจทก์ทั้งสองไปยังสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาห้วยขวางเพื่อพบผู้ซื้อและจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทกัน แต่ก็ไม่พบผู้ซื้อ จนกระทั่งเวลา 10 นาฬิกา นายพิชัย ช้างเอกวงศ์เจ้าหน้าที่ที่ดินของสำนักงานที่ดินแห่งนั้นได้ให้โจทก์ที่ 1ลงชื่อในเอกสาร 1 ฉบับ หลังจากนั้นนายอุดมและนายประเสริฐบอกแก่โจทก์ทั้งสองว่าผู้ซื้อที่ดินของโจทก์ที่ 1 รออยู่ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพลับพลาไชย แล้วนายอุดมกับนายประเสริฐได้พาโจทก์ทั้งสองไปที่ธนาคารดังกล่าว โจทก์ทั้งสองรออยู่จนกระทั่งเวลา 14 นาฬิกา ก็ยังไม่พบผู้ซื้อ นายอุดมกับนายประเสริฐจึงบอกแก่โจทก์ทั้งสองว่าผู้ซื้อมาไม่ทันให้นัดใหม่ในวันรุ่งขึ้น โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อจึงพากันกลับบ้านไปก่อน เช้าวันที่ 12 พฤศจิกายน 2536 นายประเสริฐพาโจทก์ทั้งสองไปพบนายอุดมที่โรงแรมราชาพาเลช ใกล้ปากทางเข้าสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาห้วยขวาง อ้างว่าเพื่อจะให้โจทก์ทั้งสองได้พบกับผู้ซื้ออีก แต่แล้วก็ไม่ได้พบจนกระทั่ง9 นาฬิกา ของวันนั้น นายเปาได้ไปที่โรงแรมดังกล่าวขอโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 อ้างว่าจะนำไปให้ผู้ซื้อดู โจทก์ที่ 1 หลงเชื่อได้ให้ไป ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมานายเปาก็นำโฉนดที่ดินมาคืนแล้วนายอุดมกับนายประเสริฐก็พาโจทก์ทั้งสองไปที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาห้วยขวาง แต่ก็ไม่พบผู้ซื้อ นายพิชัยเจ้าหน้าที่ที่ดินได้ขอโฉนดที่ดิน บัตรประจำตัวประชาชนพร้อมสำเนาทะเบียนบ้านจากโจทก์ที่ 1 ไปอ้างว่านำไปดำเนินการทำเรื่องขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไว้ก่อน พร้อมกับให้โจทก์ทั้งสองลงชื่อไว้ในเอกสารหลายฉบับซึ่งมีคำยินยอมของโจทก์ที่ 2 รวมอยู่ด้วยหลังจากนั้นนายอุดมกับนายประเสริฐบอกแก่โจทก์ทั้งสองให้ไปพบผู้ซื้อที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพลับพลาไชย โดยอ้างว่าผู้ซื้อรอจะโอนเงินค่าซื้อเข้าบัญชีให้แก่โจทก์ทั้งสองอยู่ที่ธนาคารดังกล่าวก่อนแล้วโจทก์ทั้งสองหลงเชื่อจึงไปยังธนาคารดังกล่าวกับนายอุดมและนายประเสริฐโดยก่อนที่จะออกจากสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาห้วยขวาง นายเปาได้นำโฉนดที่ดินมาคืนให้แก่โจทก์ที่ 1 อ้างว่าให้โจทก์ที่ 1มีความมั่นใจว่าระหว่างไปรอรับเงินที่ธนาคารจะยังไม่มีการจดทะเบียนการโอน แต่เมื่อโจทก์ทั้งสองไปถึงธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาพลับพลาไชย ก็ไม่พบผู้ซื้อ แล้วนายอุดมกับนายประเสริฐก็หลบหนีไป ซึ่งโจทก์ทั้งสองทราบจากเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาห้วยขวาง ในเย็นวันนั้นว่าได้มีการจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามแล้ว ส่วนโฉนดที่ดินที่นายเปานำมามอบให้แก่โจทก์ที่ 1 ก่อนที่โจทก์ทั้งสองจะไปที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาพลับพลาไชย เป็นโฉนดที่ดินปลอม จากข้อนำสืบของโจทก์ทั้งสองจะเห็นได้ว่านายอุดม นายประเสริฐและนายเปาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการใช้อุบายทำการฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ทั้งสองด้วยการเข้ามาเป็นนายหน้าติดต่อหาผู้ซื้อที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1 จนกระทั่งโจทก์ทั้งสองหลงเชื่อถึงขั้นมอบโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 และยินยอมลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจพร้อมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่นายพิชัยเจ้าหน้าที่ที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาห้วยขวาง ไปดำเนินการและในที่สุดก็มีการปลอมโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 โดยเจ้าพนักงานที่ดินได้นำโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยทั้งสามและนายเปาได้นำโฉนดที่ดินฉบับปลอมมาให้โจทก์ที่ 1 ยึดถือไว้แทนการเข้ามาเกี่ยวข้องของนายอุดม นายประเสริฐและนายเปาจนทำให้เจ้าพนักงานที่ดิน สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาห้วยขวาง สามารถดำเนินการจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 ให้แก่จำเลยทั้งสามนั้น ได้มีนายฤทธิชัยกิตติสุรินทร์ นายรณพิทย์ ฤทธิสิงห์ และนายณัฐ เสขะนันท์ซึ่งเป็นนายหน้าทางฝ่ายจำเลยทั้งสามเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันด้วยโดยจำเลยทั้งสามนำสืบว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2536 นายฤทธิชัยและนายณัฐซึ่งติดต่อกับนายอุดม ได้ให้นายรณพิทย์เพื่อนของจำเลยที่ 3 เสนอขายที่ดินของโจทก์ที่ 1 แก่จำเลยที่ 3มีการตกลงกันว่าฝ่ายผู้ขายจะเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมและค่าภาษีอากรเอง เกี่ยวกับที่ดินที่จะซื้อเป็นที่ดินที่ติดถนนงามวงศ์วานเนื้อที่ 500 ตารางวา ราคา 17,000,000 บาทแต่จำเลยที่ 3 ขอให้นายรณพิทย์ไปติดต่อกับเจ้าของที่ดินให้ระบุราคาซื้อขายในสัญญาซื้อขายเป็นเงิน 35,000,000 บาทเพื่อประโยชน์แก่การที่จะนำที่ดินนั้นไปจำนองหรือขายต่อซึ่งต่อมานายรณพิทย์ได้แจ้งต่อจำเลยที่ 3 ว่าเจ้าของที่ดินไม่ขัดข้อง จำเลยที่ 3 จึงชวนให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมทุนซื้อด้วย และในที่สุดจำเลยทั้งสามก็สามารถดำเนินการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทได้ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2536โดยจำเลยทั้งสามมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกับโจทก์ที่ 1เมื่อจำเลยทั้งสามสามารถจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทได้แล้วนายอุดมได้มอบเงินเป็นค่านายหน้าให้แก่นายฤทธิชัยจำนวน150,000 บาท จากการที่จำเลยทั้งสามนำสืบรับว่า นายฤทธิชัยเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดินมีนายณัฐและนายรณพิทย์ร่วมอยู่ด้วยและการที่นายอุดมติดต่อขายที่ดินพิพาทไปยังนายฤทธิชัยทั้ง ๆ ที่นายฤทธิชัย นายณัฐและนายรณพิทย์รวมทั้งจำเลยทั้งสามไม่เคยรู้จักโจทก์ทั้งสองมาก่อน มีเหตุให้เชื่อว่ากลุ่มนายหน้าทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายนายอุดม นายประเสริฐและนายเปากับนายฤทธิชัย นายรณพิทย์ และนายณัฐจะต้องรู้จักกันมาก่อนเป็นอย่างดี และการที่นายหน้าฝ่ายนายอุดม นายประเสริฐ กับนายเปาไปหลอกลวงโจทก์ทั้งสองว่ามีชาวต่างประเทศต้องการซื้อที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 ให้แก่ภริยาน้อยของชาวต่างประเทศผู้นั้นที่เป็นคนไทยก็ดี การพาโจทก์ที่ 2 ไปเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาพลับพลาไชย โดยอ้างว่าชาวต่างประเทศผู้ซื้อมีเงินฝากอยู่ที่ธนาคารแห่งนั้นจำนวน 80,000,000 บาท เท่าจำนวนที่โจทก์ที่ 1เสนอขายที่ดินพิพาทอันเป็นการสะดวกต่อการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากผู้ซื้อเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ 2 รวมตลอดถึงการพาโจทก์ทั้งสองไปรอผู้ซื้อที่โรงแรมและที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาห้วยขวาง กับที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพลับพลาไชยในวันที่ 11 และ 12 พฤศจิกายน 2536 แต่ไม่พบ จนเป็นเหตุให้มีการปลอมโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 และมีการจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 ให้แก่จำเลยทั้งสามก็ดี ล้วนเป็นอุบายที่นายอุดม นายประเสริฐและนายเปาวางแผนหลอกลวงโจทก์ทั้งสองทั้งสิ้น การที่นายอุดม นายประเสริฐ และนายเปารู้จักกับนายฤทธิชัย นายรณพิทย์และนายณัฐ นายหน้าของฝ่ายจำเลยทั้งสามเป็นอย่างดีดังได้วินิจฉัยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเท็จจริงรับกันว่านายอุดมกับพวกได้ติดต่อให้นายฤทธิชัยเสนอขายที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 จนกระทั่งนายรณพิทย์ได้เสนอขายให้แก่จำเลยที่ 3 และในที่สุดจำเลยทั้งสามสามารถจดทะเบียนซื้อที่ดินพิพาทได้สำเร็จ มีเหตุให้เชื่อได้ว่านายฤทธิชัย นายรณพิทย์และนายณัฐ นายหน้าฝ่ายจำเลยทั้งสามได้ล่วงรู้และร่วมวางแผนหลอกลวงโจทก์ทั้งสองร่วมกับนายอุดมนายประเสริฐและนายเปาด้วย มิฉะนั้นจำเลยทั้งสามก็คงไม่สามารถไปจดทะเบียนการซื้อขาย ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาห้วยขวาง ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2536 โดยที่โจทก์ทั้งสองไม่มีโอกาสพบจำเลยทั้งสามได้ ส่วนข้อนำสืบของจำเลยทั้งสามที่ว่าในวันจดทะเบียนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้พบกับโจทก์ทั้งสองที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาห้วยขวาง และจำเลยที่ 2กับที่ 3 ได้จ่ายเงินค่าซื้อที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองภายในห้องทำงานของนายสนั่น บุญเหลือ เจ้าพนักงานที่ดินแล้วรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ เมื่อฟังข้อเท็จจริงว่านายฤทธิชัยนายรณพิทย์ และนายณัฐ นายหน้าฝ่ายจำเลยทั้งสามได้ล่วงรู้และร่วมวางแผนใช้กลอุบายหลอกลวงเพื่อฉ้อฉลโจทก์ทั้งสองดังกล่าวแล้วการที่ผลสำเร็จแห่งการฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ทั้งสองทำให้จำเลยทั้งสามได้รับประโยชน์โดยจำเลยทั้งสามสามารถจดทะเบียนเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 ต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้สำเร็จทั้ง ๆ ที่จำเลยทั้งสามไม่เคยพบหรือเจรจาทำความตกลงกับโจทก์ทั้งสองมาก่อนเลย รวมทั้งก่อนจดทะเบียนจำเลยทั้งสามก็ไม่เคยไปขอตรวจสอบแนวเขตหรือไปดูที่ดินพิพาททั้ง ๆ ที่เป็นการซื้อที่ดินด้วยเงินจำนวนมาก ย่อมมีเหตุให้เชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสามมีส่วนรู้เห็นต่อการวางแผนฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ทั้งสองของบรรดานายหน้าทั้งฝ่ายโจทก์ทั้งสองและฝ่ายจำเลยทั้งสามด้วยพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามที่นำสืบว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทผ่านนายหน้าโดยสุจริต มีการชำระทั้งเงินสดและแคชเชียร์เช็ค โดยมีเจ้าหน้าที่ของธนาคารมาเบิกความสนับสนุนเกี่ยวกับเงินสดและแคชเชียร์เช็คที่จำเลยทั้งสามอ้างว่าเป็นเงินที่นำมาชำระค่าซื้อที่ดินพิพาท รวมทั้งการที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่าจำเลยทั้งสามได้จดทะเบียนการซื้อขายที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาห้วยขวาง ในวันที่12 พฤศจิกายน 2536 โดยสุจริต บ่งบอกเจตนาของจำเลยทั้งสามได้ว่าจำเลยทั้งสามนำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะทำให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้รู้เห็นหรือเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันกับการฉ้อฉลหลอกลวงของบรรดานายหน้ากลุ่มนี้ด้วยเท่านั้นรูปคดีมีเหตุให้เชื่อว่าขณะที่จำเลยทั้งสามจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินพิพาทในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2536 โจทก์ทั้งสองมิได้อยู่ที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาห้วยขวาง และมิได้เป็นผู้รับเงินค่าขายที่ดินจากจำเลยทั้งสามดังที่จำเลยทั้งสามนำสืบข้อเท็จจริงกลับฟังได้ว่า ขณะนั้นโจทก์ทั้งสองถูกนายอุดมและนายประเสริฐกับนายเปาใช้อุบายหลอกลวงให้โจทก์ทั้งสองแยกตัวออกไปจากสำนักงานที่ดินแห่งนั้นโดยอ้างว่าจะพาโจทก์ทั้งสองไปรับเงินค่าขายที่ดินพิพาทจำนวน 80,000,000 บาท จากผู้ซื้อที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพลับพลาไชย จนโจทก์ทั้งสองหลงเชื่อยอมไปที่ธนาคารดังกล่าวกับนายอุดมและนายประเสริฐเปิดโอกาสให้จำเลยทั้งสามดำเนินการจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้สำเร็จ เหตุผลอีกประการหนึ่งที่สนับสนุนให้เชื่อว่าจำเลยทั้งสามมีส่วนรู้เห็นในการฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ทั้งสองเพื่อให้โจทก์ทั้งสองขายที่ดินพิพาทก็คือจำเลยทั้งสามทราบดีว่าการซื้อขายที่ดินพิพาท โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ขายจะต้องเป็นฝ่ายชำระค่าธรรมเนียมและค่าภาษีอากรการจดทะเบียนการโอน แต่ความกลับปรากฏว่าจำเลยทั้งสามได้เตรียมแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายเงินค่าธรรมเนียมและภาษีอากรการโอนต่อกระทรวงการคลัง และเป็นผู้ชำระเงินดังกล่าวเอง จึงเป็นที่ยืนยันได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ดำเนินการและเตรียมการต่าง ๆไว้พร้อมสรรพเพื่อเป้าหมายที่จะทำการจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทให้แล้วเสร็จโดยพลันลับหลังโจทก์ทั้งสองตามแผนการที่ได้ร่วมวางไว้กับบรรดานายหน้า เมื่อโจทก์ทั้งสองถูกฉ้อฉลหลอกลวงให้ขายที่ดินพิพาทโดยที่โจทก์ทั้งสองยังมิได้รับเงินค่าขายที่ดินและมิได้รู้เห็นหรือยินยอมให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสาม การจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทของเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาห้วยขวาง ให้แก่จำเลยทั้งสามย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสองชอบที่จะฟ้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336
พิพากษายืน