คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4529/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำสืบพยานโดยอ้างส่งหนังสือวางเงินมัดจำหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำ และบันทึกข้อตกลงที่จำเลยยอมผ่อนชำระเงินมัดจำคืนแก่โจทก์เป็นหลักฐานจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านว่าเอกสารดังกล่าวมิใช่ต้นฉบับและอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า เอกสารดังกล่าวมิใช่ต้นฉบับแต่เป็นสำเนาโดยรองเขียนด้วยกระดาษคาร์บอนสีน้ำเงินส่วนต้นฉบับจำเลยครอบครองอยู่ ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ซึ่งมีความหมายว่าขอให้ ไม่รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานและพิพากษายกฟ้องโจทก์ดังนี้ การที่โจทก์จำเลยทำเอกสารดังกล่าวได้ใช้กระดาษคาร์บอนคั่นกลาง เมื่อเขียนและลงชื่อ แล้วจึงมอบฉบับล่างให้โจทก์โดยคู่กรณีถือว่าฉบับล่างเป็นหนังสือสัญญาเช่นเดียวกับฉบับบน สำหรับฉบับบนจำเลยเก็บไว้ การทำเอกสารในลักษณะเช่นนี้เห็นเจตนาของคู่สัญญาได้ว่า ประสงค์ให้ถือเอาเอกสารฉบับล่างเป็นคู่ฉบับของเอกสารบน โดยไม่ถือว่าเอกสารฉบับล่างเป็นสำเนา เพราะมิใช่ข้อความ ที่คัดลอกหรือถ่ายเอกสารมาจากต้นฉบับ แต่ได้ทำขึ้นพร้อมกับ ฉบับบนหรือต้นฉบับเพื่อใช้เป็นหนังสือสัญญา 2 ฉบับ มีผลเท่ากับเป็นต้นฉบับด้วย จึงไม่ต้องห้ามมิให้ศาล รับฟังเอกสารที่โจทก์อ้างเป็นพยานหลักฐานดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2536 โจทก์จะซื้อทาวน์เฮาส์และวางเงินมัดจำแก่จำเลยจำนวน 20,000 บาท ต่อมาวันที่ 8พฤศจิกายน 2536 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อทาวน์เฮาส์ดังกล่าวจากจำเลยและวางเงินมัดจำเพิ่มอีก 40,000 บาท รวมเป็น 60,000 บาท ตกลงจะโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2537 แต่จำเลยไม่ได้ก่อสร้างทาวน์เฮาส์โดยโครงการเลิกล้มไป จำเลยตกลงจะคืนเงินมัดจำทั้งหมดแก่โจทก์โดยผ่อนชำระเดือนละ 4,000 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม2538 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2539 ตามบันทึกข้อตกลงลงวันที่ 11พฤศจิกายน 2537 แต่จำเลยไม่เคยผ่อนชำระแก่โจทก์เลย ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงิน 60,000 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวคิดตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2536 ถึงวันฟ้องคือวันที่ 24 มิถุนายน 2539 เป็นเวลา 2 ปี 7 เดือน 15 วัน เป็นค่าดอกเบี้ย11,810 บาท รวมกับต้นเงินเป็นเงิน 71,810 บาท และดอกเบี้ยอัตราเดียวกันจากต้นเงิน 60,000 บาท คิดตั้งแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 31 มกราคม 2538จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษา ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาโดยไม่ให้รับฟังสำเนาเอกสารและให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า เอกสารที่โจทก์อ้างนั้นจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ ปรากฏว่าโจทก์นำสืบตัวโจทก์และอ้างส่งหนังสือวางเงินมัดจำเอกสารหมาย จ.2 หนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.3 และบันทึกข้อตกลงที่จำเลยยอมผ่อนชำระเงินมัดจำคืนแก่โจทก์เอกสารหมาย จ.4 เป็นหลักฐานจำเลยไม่ติดใจสืบพยาน แต่ได้ยื่นคำร้องคัดค้านว่าเอกสารดังกล่าวมิใช่ต้นฉบับ หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วจำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาว่าเอกสารดังกล่าวมิใช่ต้นฉบับ แต่เป็นสำเนาโดยรองเขียนด้วยกระดาษคาร์บอนสีน้ำเงิน ส่วนต้นฉบับจำเลยครอบครองอยู่จำเลยขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 สั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบซึ่งมีความหมายว่าขอให้ไม่รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานและพิพากษายกฟ้องโจทก์ ข้อความในอุทธรณ์ของจำเลยเช่นนี้แสดงว่าในการที่โจทก์จำเลยทำเอกสารดังกล่าวได้ใช้กระดาษคาร์บอนคั่นกลางเมื่อเขียนและลงชื่อแล้วจึงมอบฉบับล่างให้โจทก์โดยคู่กรณีถือว่าฉบับล่างเป็นหนังสือสัญญาเช่นเดียวกับฉบับบน ส่วนฉบับบนจำเลยเก็บไว้การทำเอกสารในลักษณะเช่นนี้เห็นเจตนาของคู่สัญญาได้ว่าประสงค์ให้ถือเอกเอกสารฉบับล่างเป็นคู่ฉบับของเอกสารฉบับบน ไม่ถือว่าเอกสารฉบับล่างเป็นสำเนา เพราะมิใช่ข้อความที่คัดลอกหรือถ่ายเอกสารมาจากต้นฉบับ แต่ได้ทำขึ้นพร้อมกับฉบับบนหรือต้นฉบับเพื่อใช้เป็นหนังสือสัญญา 2 ฉบับ มีผลเท่ากับเป็นต้นฉบับดังนี้ เมื่อไม่เป็นสำเนาเอกสารแล้วก็ไม่ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังเป็นพยานหลักฐาน
พิพากษายืน

Share