คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1203/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้ดาบไล่ฟันเขาระยะห่างกัน 3 วาเขาหนีขึ้นเรือน มีผู้ห้ามจำเลยฟันไม่ได้เป็นผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2498 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยบังอาจกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทงต่อเนื่องกันกล่าวคือ

ก. ตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยบังอาจใช้มีดดาบฟันนายขาว โคกกรวด 1 ครั้ง แต่นายขาววิ่งหนีขึ้นบนเรือนนายโสม คงป้อมเสียก่อน จำเลยจึงฟันนายขาวไม่ถูก อันเป็นการพ้นวิสัยของจำเลยจะป้องกันได้มาขัดขวางเสียทำให้จำเลยไม่สามารถทำร้าย นายขาวได้สมดังเจตนา

ข. ตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยได้บังอาจวางเพลิงจุดเผาเรือนอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนายโสม คงป้อม เป็นเหตุทำให้ไฟไหม้ฝาเรือนและข้าวของเสียหายคิดเป็นเงิน 46 บาท 25 สตางค์

เหตุเกิดที่ตำบลงิ้ว อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 254, 60, 186 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2475 มาตรา 4 และริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธข้อหา

ศาลจังหวัดนครราชสีมาพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกาย ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 254, 60 กระทงหนึ่งและผิดฐานวางเพลิงตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 186 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2475 มาตรา 4 อีกกระทงหนึ่ง จำเลยกระทำผิดต่อเนื่องกัน ให้รวมกระทงลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 12 ปี ของกลางริบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้คำพิพากษา ศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีความผิดฐานวางเพลิง ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 186 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2475 มาตรา 4 เพียงกระทงเดียวให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนดสิบปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามทำร้ายร่างกายนายขาวอีกกระทงหนึ่งตามฟ้อง

ศาลฎีกาได้ฟังคำแถลงของฝ่ายโจทก์จำเลย และตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีเรื่องนี้แล้ว ในชั้นนี้คดีมีปัญหาเฉพาะเรื่องพยายามทำร้ายร่างกายว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวน จำเลยจะมีความผิดหรือไม่ ซึ่งทางพิจารณาได้ความตามคำพยานโจทก์ว่า ในคืนเกิดเหตุนายขาว โคกกรวด เอากางเกงที่จำเลยจำนำไว้ไปให้จำเลยไถ่คืนจำเลยไม่ยอมไถ่ เกิดเป็นปากเสียงกัน จำเลยคว้ามีดดาบปลายตัดไล่ฟันนายขาวมาในระยะห่างประมาณ 3 วา นายขาววิ่งหนี ขึ้นบนเรือนนายโสมนางตุ่น นางตุ่นออกมาห้ามจำเลยที่หัวบันได ไม่ให้จำเลยตามนายขาวขึ้นไป จำเลยไม่ฟัง นางตุ่นจึงผลักบันไดล้มลง จำเลยโกรธพูดว่าจะฆ่าให้หมด แล้วเอามีดฟันบันไดเรือน มีดหัก ตัวมีดตกอยู่ใต้บันได

จำเลยนำสืบว่า นายขาว นายเรศ เมาสุรา เอะอะมาที่เรือนจำเลย นายขาวให้จำเลยไถ่กางเกงที่จำเลยจำนำนายขาวไว้ ไม่ตกลงกันเรื่องค่าไถ่ นายขาว นายเรศ ก็ลงจากเรือนจำเลยไปยังเรือนนายทองได้ยินนายขาว นายเรศ พูดจาเสียงฮึดฮัด จำเลยจึงตามไปโดยมือเปล่านายขาวใช้มีดฟันจำเลย ไม่ถูกจำเลย แต่ถูกบันไดเรือนนายทอง มีดหักจำเลยกลับบ้าน นายขาว นายเรศ ไปยืนด่าจำเลยอยู่ข้างเรือนนายศุขจำเลยอดรนทนไม่ได้จึงไปชกนายขาว นายขาวใช้มีดที่หักนั้นฟันจำเลยถูกแขน 1 แห่ง ขา 1 แห่ง นายเรศใช้มีดปลายแหลมฟันถูกข้อมือจำเลย 1 แห่ง จำเลยล้มลง นายเรศตีและกระทืบจำเลยอีก จำเลยเรียกนายศุขให้ช่วย นายขาว นายเรศ ก็หนีไป

ประเด็นที่จะต้องพิจารณามีเฉพาะตอนที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยใช้มีดไล่ฟันนายขาว ซึ่งในข้อนี้โจทก์มีนายขาว นางตุ่น นายทิพย์พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกัน กับมีนายสุวรรณ ผู้ใหญ่บ้านนายสิบตำรวจตรีอ่อนเบิกความประกอบคำพยานเหล่านั้น ในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การว่า จำเลยถือมีดโต้ตามนายขาวไป ต่อมาไม่ทราบว่ามีดของจำเลยเป็นอะไรหัก ในคืนนั้นจำเลยไปแจ้งความต่อนายอินผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านว่าถูกนายขาวฟัน นายอินตรวจดูไม่เห็นมีบาดแผลนายสิบตำรวจตรีอ่อนก็ว่า เวลาจับจำเลยในวันที่ 11 ธันวาคม 2498 จำเลยไม่มีบาดแผลที่ใด

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้ใช้ดาบไล่ฟันนายขาวระยะห่างกันประมาณ 3 วา นายขาววิ่งหนีขึ้นเรือนนางตุ่น นางตุ่นออกมาห้ามขัดขวางไว้และผลักบันไดล้มลง จำเลยจึงฟันนายขาวไม่ได้ อาการที่จำเลยกระทำแก่นายขาวทั้งนี้ แสดงว่าจำเลยเจตนาจะทำร้ายนายขาวและได้ลงมือพยายามจะทำร้าย ถึงแก่วิ่งไล่ตามเพื่อใช้ดาบฟันนายขาววิ่งหนีห่างกันเพียงระยะ 3 วา ถ้านายขาวขึ้นเรือนหนีไม่ทันก็น่าจะถูกจำเลยฟันเป็นการหวุดหวิดหรือใกล้ชิดต่อความสำเร็จแห่งผลของการทำร้าย หากมีเหตุอันนอกอำนาจของจำเลยมาขัดขวางไว้ การกระทำจึงไม่สำเร็จดังเจตนา จำเลยย่อมมีผิดฐานพยายามทำร้ายนายขาวตามโจทก์ฟ้องศาลชั้นต้นลงโทษจำเลย ฐานพยายามทำร้ายด้วยอีกกระทงหนึ่งนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามทำร้ายร่างกายตาม มาตรา 254 และ 60 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน

Share