คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ตั้งทุนทรัพย์ ไว้ในฟ้อง 2,500 บาท มาในชั้นฎีกามี ป.วิ.แพ่ง แก้ไขใหม่ว่าทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ดั่งนี้ กฎหมายที่แก้ใหม่เป็นวิธีสบัญญัติ ใช้บังคับได้ทันที โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
ศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาเสมอไป หากพยานหลักฐานมีอย่างไรในสำนวน ศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยตามนั้นได้เมื่อมีประเด็น.

ย่อยาว

ที่พิพาทในคดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าเป็นของโจทก์ เดิมนายโฉมบิดาโจทก์นำไปขายฝากไว้แก่นายจีนบิดาจำเลย ฝ่ายจำเลยให้ การว่าเป็นของจำเลยโดยนายจีนบิดาจำเลยแบ่งให้จำเลยได้ครอบครองตลอดมา
ศาลชั้นต้นเชื่อว่านายโฉมได้ขายฝากที่พิพาทให้แก่นายจีนโดยให้นายจีนทำนาพิพาทกินต่างดอกเบี้ยจริง แต่นายจีน แสดงเจตนาเปลี่ยนแปลงการครอบครองจากการครอบครองทำกินต่างดอกเบี้ยมาเป็นเจตนาครอบครองเพื่อตนเอง ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าได้มีการขายฝาก แม้นายโฉมและโจทก์จะมีชื่อในโฉนด แต่เมื่อปล่อยให้นายจีนและจำเลย ครอบครองเพื่อตนเองต่อเนื่องมาถึง ๓๐ ปี โดยเฉพาะจำเลยถึง ๑๐ ปีกว่า ดั่งนี้ จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒ จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า
(๑) โจทก์ตั้งทุนทรัพย์ไว้ในฟ้อง ๒,๕๐๐ บาทก็จริง แต่มาในขั้นฎีกา พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.แพ่งฉบับที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๙๙ ห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท กฎหมายที่แก้ใหม่นี้ เป็นวิธีสบัญญัติ ไม่ใช่สาระบัญญัติ จึงใช้ บังคับทันทีได้ โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
(๒) ศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริง ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาเสมอไป เมื่อพยานหลักฐานมีอย่างไรในสำนวน แล้ว ศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยตามนั้นได้ เมื่อมีประเด็น
(๓) การที่นายจีนเปลี่ยนเจตนาจากยึดถือที่นาทำกินต่างดอกเบี้ยเป็นเจตนายึดถือเพื่อตนนั้น นายจีนจะบอกกล่าวการ เปลี่ยนแปลงเช่นนั้นไปยังนายโฉมหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องสืบ เมื่อเป็นข้อเท็จจริง โจทก์ก็ฎีกาไม่ได้ดังวินิจฉัย ไว้แล้ว.

Share