คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่า จำเลย 4 คน สมคบกันกระทำผิด ไม่จำต้องแยกกล่าวว่าจำเลยคนไหน กระทำอย่างไร ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาเป็นใจความว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้บังคับบัญชาใช้ให้มีหน้าที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดและต่อทะเบียนและค่าธรรมเนียมเรื่องราวขอรับและขอต่อใบอนุญาตขับขี่ล้อเลื่อนต่าง ๆ ตามอัตรา รวมทั้งค่าแสตมป์ ก.ศ.ส. ส่งต่อกองกำกับการตำรวจภูธร จังหวัดพังงา

อัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนรถจักรยาน 2 ล้อ ให้เรียกเก็บคันละ 6 บาท 30 สตางค์ การขอรับใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน 2 ล้อ ให้เรียกเก็บฉบับละ 5 บาท 30 สตางค์ รวมเป็นเงินที่ต้องเรียกเก็บ 11 บาท 60 สตางค์

อัตราค่าธรรมเนียมต่อทะเบียนรถจักรยาน 2 ล้อ คันละ 4 บาท 30 สตางค์ ค่าธรรมเนียมต่อใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน 2 ล้อ ฉบับละ 4 บาท 30 สตางค์ รวมเป็นเงินที่จะต้องเรียกเก็บ 8 บาท 60 สตางค์

อัตราค่าธรรมเนียมจดทะเบียนเกวียนคันละ 11 บาท 30 สตางค์ค่าธรรมเนียมขอรับใบอนุญาตขับขี่เกวียนฉบับละ 5 บาท 30 สตางค์รวมเป็นเงินที่จะต้องเรียกเก็บ 16 บาท 60 สตางค์

อัตราค่าธรรมเนียมต่อทะเบียนเกวียนคันละ 8 บาท 30 สตางค์ ค่าธรรมเนียมต่อใบอนุญาตขับขี่เกวียนฉบับละ 4 บาท 30 สตางค์รวมเป็นเงินที่จะต้องเรียกเก็บ 12 บาท 60 สตางค์

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2496 จำเลยสมคบกันเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนและขอรับใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน 2 ล้อจากนายสงบ โภคบุตร 15 บาท 40 สตางค์ (รวมทั้งค่าอากรแสตมป์ 40 สตางค์ด้วย) เกินไปกว่าอัตราที่ควรจะเก็บ 3 บาท 80 สตางค์

เรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่อทะเบียน และขอรับใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน 2 ล้อ จากนายเตียน โภคบุตร 15 บาท 40 สตางค์(รวมทั้งค่าอากรแสตมป์ 40 สตางค์ด้วย) เกินไปกว่าอัตราที่ควรเก็บ 5 บาท 80 สตางค์

เรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่อทะเบียน และต่อใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน 2 ล้อ จากนายเสถียร เกรียงไกร 15 บาท 40 สตางค์ เกินไปกว่าอัตราที่ควรเก็บ 6 บาท 80 สตางค์

เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียน และขอรับใบอนุญาตขับขี่ รถจักรยาน 2 ล้อ ค่าธรรมเนียมต่อทะเบียนและต่อใบอนุญาตขับขี่ รถจักรยาน 2 ล้อ จากนายท๋อ แซ่อิ๋ว กับบุคคลอีกหลายคนเป็นเงินรายละ 15 บาท 20 สตางค์บ้าง 15 บาทบ้าง และ 15 บาท 40 สตางค์บ้าง ซึ่งเกินไปกว่าอัตราที่ควรเรียกเก็บทั้งสิ้น รวมค่าธรรมเนียมที่จำเลยเรียกเก็บทั้งหมด เป็นเงิน 520 บาท เกินอัตราที่ควรเก็บไป 160 บาท 10 สตางค์ เงินที่จำเลยเรียกเก็บเกินดังกล่าว จำเลยนำส่งกองกำกับการตำรวจภูธร จังหวัดพังงาเพียง 46 บาท อีก 114 บาท 10 สตางค์ มิได้นำส่ง

วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2496 เวลากลางวัน จำเลยสมคบกันเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่อทะเบียน และขอรับใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน 2 ล้อ 2 คัน จากนายบุญรัตน์ จินดาพล 30 บาท 80 สตางค์ (รวมค่าอากรแสตมป์ 80 สตางค์ด้วย) เกินอัตราที่ควรเก็บไป 11 บาท 60 สตางค์

เรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่อทะเบียน และต่อใบอนุญาตขับขี่ รถจักรยาน 2 ล้อ จากนายจวง นิ่มจงจิตร์ 15 บาท 40 สตางค์เกินอัตราที่ควรเก็บไป 6 บาท 80 สตางค์

เรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่อทะเบียน และต่อใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน 2 ล้อ จากนายแสดง วิเศษ 15 บาท 40 สตางค์ (รวมค่าอากรแสตมป์ 40 สตางค์ด้วย) เกินอัตราที่ควรเก็บไป 6 บาท 80 สตางค์

เรียกเก็บจากนายคล้า จินดาพล 30 บาท 80 สตางค์ (รถจักรยาน 2 คัน รวมทั้งค่าอากรแสตมป์ 80 สตางค์ด้วย) เกินอัตราที่ควรจะ เก็บไป 13 บาท 60 สตางค์

เรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่อทะเบียนและต่อใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน 2 ล้อ กับค่าธรรมเนียมต่อทะเบียนเกวียน และขอรับใบอนุญาตขับขี่เกวียนจากนายกล่ำ มีผล รวม 40 บาท 80 สตางค์เกินอัตราที่ควรเก็บไป 18 บาท 60 สตางค์ และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจดและต่อทะเบียนการขอรับและต่อใบอนุญาตขับขี่ล้อเลื่อนต่าง ๆ จากนายต้า ก่อผล นายหิรัญทองตัน นายห้าม เหี้ยมสนิท นายวิทย์ หรือ หวีด ใยฝ้าย และบุคคลอื่นอีกหลายคน เป็นเงินรายละ 15 บาท 40 สตางค์บ้าง 20 บาท 40 สตางค์บ้าง 25 บาท 60 สตางค์บ้าง 20 บาท 50 สตางค์บ้าง ซึ่งเกินไปกว่าอัตราที่ควรเก็บทั้งสิ้น รวมเงินที่จำเลยเรียกเก็บทั้งหมดเป็นเงิน 2,364 บาท เกินอัตราที่ควรเก็บไป 731 บาท 50 สตางค์เงินที่จำเลยเรียกเก็บเกินไป 731 บาท 50 สตางค์นี้ จำเลยนำส่งกองกำกับการตำรวจภูธร จังหวัดพังงาเพียง 125 บาท อีก 636 บาท 50 สตางค์ มิได้นำส่ง

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2496 เวลากลางวัน จำเลยสมคบกันเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่อทะเบียน และต่อใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน 2 ล้อจากนายคล้ายอัยรักษ์ และนายน้อม ศรีนาค เป็นเงินรายละ 15 บาท 40 สตางค์ เกินอัตราที่ควรเก็บไป 6 บาท 90 สตางค์

เรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่อทะเบียนและต่อใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน 2 ล้อ จากนายเตี๋ยน สีงาม 15 บาท 40 สตางค์ เกินอัตรา ที่ควรเก็บไป 6 บาท 80 สตางค์

เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนและรับใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน 2 ล้อ จากนายวิโชติ โกยแก้วพริ้ง 20 บาท 40 สตางค์ เกินอัตราที่ควรเก็บไป 8 บาท 80 สตางค์

และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียน และขอรับใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน2 ล้อ ค่าธรรมเนียมต่อทะเบียน และต่อใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน 2 ล้อ ค่าธรรมเนียมจดทะเบียน และต่อใบอนุญาตขับขี่เกวียนจากนายชม ก่อทรัพย์ นายสนอง ประทีป ณ ถลาง นายชาย รัตนโส และบุคคลอีกหลายคนเป็นเงินรายละ 13 บาท 50 สตางค์บ้าง 15 บาท 50 สตางค์บ้าง 25 บาท 50 สตางค์บ้าง ซึ่งเกินอัตราที่ควรเรียกเก็บทั้งสิ้นรวมค่าธรรมเนียมที่จำเลยเรียกเก็บทั้งหมดเป็นเงิน2,246 บาท เกินอัตราที่ควรเก็บไป 802 บาท 90 สตางค์ และจำเลยนำส่งเพียง 86 บาท อีก 716 บาท 90 สตางค์ มิได้นำส่ง

เหตุทั้งนี้ เกิดที่ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง การที่จำเลยได้กระทำตามข้อความที่กล่าวมาในคำฟ้องนั้น โจทก์ถือว่า เป็นความผิดต่อกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 135, 63 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2477 (ฉบับที่ 2) มาตรา 3 พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2484 มาตรา 3 พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญาพ.ศ. 2484 มาตรา 3 ขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธต่อสู้เป็นใจความว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมดังฟ้องด้วยตนเอง แต่จำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้จำเลยอื่น ๆ เรียกเก็บตามระเบียบข้อบังคับที่ทางราชการตำรวจวางไว้ จำเลยอื่น ๆ ได้เรียกเก็บส่งมอบแก่จำเลยที่ 1 โดยถูกต้อง และจำเลยที่ 1 ก็ได้นำส่งกองกำกับการตำรวจภูธรพังงาโดยหมดสิ้นแล้ว เงินที่ว่าเกินไปรวมได้ 257 บาท นั้นก็อยู่ในจำนวนค่าธรรมเนียมที่ถูกต้องนั้นเอง ไม่ใช่เป็นเงินที่เรียกเก็บเกิน ตามฟ้องที่บรรยายถึง (อัตรา)ค่าธรรมเนียมที่ให้เรียกเก็บ ไม่ถูกต้องตรงกับระเบียบข้อบังคับและคำสั่งและฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ไม่เป็นฟ้องที่ถูกต้อง

จำเลยที่ 2-3-4 ให้การปฏิเสธว่า จำเลยทั้งสามไม่มีหน้าที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังฟ้อง ต่อสู้ว่าเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 สั่งให้จำเลยทั้งสามเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราที่จำเลยที่ 1 วางระเบียบให้เก็บ เมื่อจำเลยทั้งสามเรียกเก็บแล้วก็นำส่งจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสามหาได้เรียกเก็บเกินไปกว่าที่จำเลยที่ 1 สั่งไม่

ศาลจังหวัดพังงาพิจารณาแล้วเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม และเห็นว่า หลักฐานพยานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้สมคบกันเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนต่อทะเบียน และใบอนุญาตขับขี่ยานพาหนะต่าง ๆ เกินกว่าอัตราที่ควรเก็บ และมิได้นำเงินที่เรียกเก็บเกินนี้ส่งกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพังงาจริง หลักฐานพยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นแต่ผู้เขียนเรื่องราวคำร้องต่าง ๆ จำเลยที่ 4 ก็เป็นเพียงผู้ตรวจยานพาหนะเท่านั้น หาได้มีหน้าที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมด้วยไม่ ไม่มีทางจะลงโทษจำเลยที่ 3-4 ได้ พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-2 มีความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง ให้ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี คดีสำหรับจำเลยที่ 3-4 ให้ยกฟ้องปล่อยตัวไป

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

โจทก์ก็อุทธรณ์ว่า หลักฐานพยานโจทก์ฟังลงโทษจำเลยที่ 3 ได้ด้วย

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีไม่มีที่สงสัยว่า จำเลยที่ 1 จะมิได้กระทำผิดจริง และฟ้องของโจทก์ก็หาเคลือบคลุมไม่ ส่วนจำเลยที่ 3 หลักฐานพยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษ พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา แต่ศาลจังหวัดรับเป็นฎีกาเฉพาะที่ว่าเป็นปัญหากฎหมาย เพราะคดีนี้จำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้

ศาลฎีกาได้ฟังทนายจำเลยแถลงการณ์ด้วยวาจา และได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว

ฎีกาจำเลยที่อ้างว่า เป็นปัญหากฎหมาย 2 ข้อ นั้นคือ

1. ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม และ

2. ว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตใช้อำนาจ และตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริต

ตามฎีกาข้อ 1 จำเลยคัดค้านว่า ฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่า จำเลยคนไหนได้เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมประเภทใดเกินไปเท่าใด และจากใคร และเก็บได้ทั้งหมดอย่างไหนเท่าใดเกินไปอย่างไหน เท่าใด อาจทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ได้

ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลทั้งสองว่า ข้อเท็จจริงและรายละเอียดดังที่จำเลยยกขึ้นมาฎีกานี้ โจทก์ได้ระบุไว้ในฟ้องพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ดังที่ได้นำใจความแห่งคำบรรยายฟ้องมากล่าวไว้ข้างต้นนั้น และตามฟ้องของโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสี่สมคบกันกระทำความผิดเรื่องนี้ จึงไม่จำจะต้องแยกกล่าวว่าจำเลยคนไหนกระทำอย่างไรเป็นคน ๆ ไปเลย ฟ้องของโจทก์หาเคลือบคลุมไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ตามฎีกาข้อ 2 ข้อความที่จำเลยคัดค้านมานั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ ไม่เป็นปัญหากฎหมายอย่างไรเลย จึงรับพิจารณามิได้

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย

Share