แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยตั้งสำนักงานขึ้นให้ชื่อว่าบริษัทชัยวัฒนา มีวัตถุประสงค์ทำการค้าและชักชวนให้ประชาชนำเงินมาฝากเป็นการเข้าหุ้น แต่การเข้าหุ้นนี้จำเลยคิดผลประโยชน์ให้ร้อยละ 50 ต่อเดือนเป็นรายเดือน มีประชาชนหลายจังหวัดนำเงินมามอบให้จำเลยเป็นจำนวนมากมายหลายสิบล้านบาทเพราะหวังประโยชน์ตอบแทนอันสูง ดังนี้เมื่อคำนวนอัตราผลประโยชน์ร้อยละ 50 ต่อเดือนที่จำเลยคิดให้แล้วในต้นเดือนที่จำเลยคิดให้แล้วในต้นเงินเพียง 100 บาท ถ้าฝากจำเลยสมทบทั้งต้นและผลประโยชน์ ในปีหนึ่งจำเลยจะต้องจ่ายเป็นเงินหนึ่งหมื่นเศษ ถ้าถึงปีที่ 2 ก็เป็นจำนวนเกินล้านบาท ซึ่งเป็นที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยจะไปหาผลกำไรจากที่ไหนมาจ่ายให้ได้ แม้จำเลยเองก็ว่าหุ้นส่วนมีกำไรเท่าใดไม่อาจรู้ได้ แต่กระนั้นจำเลยก็ยังคงจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ฝากไปได้ เหตุที่จำเลยจ่ายเงินปันผลทั้ง ๆที่ไม่รู้ว่ามีกำไรเท่าใดนั้น ย่อมประกอบให้เห็นเจตนาจำเลยในการลวงให้เข้าหลงเชื่อโดยแท้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้อุบายเป็นทำนองว่าตนทำการค้าใหญ่โตให้เขานำเงินมาฝากเข้าเป็นหุ้นส่วน โดยสัญญาจะจ่ายเงินปันผลให้ร้อยละ 50 ต่อเดือน ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็รู้ดีว่าไม่สามารถจะจ่ายให้เขาได้จึงนับว่าเป็นความเท็จและคนหลงเชื่อนำเงินมาฝากมากมายเช่นนี้ย่อมเข้าเกณฑ์ความผิดฐานฉ้อโกงตาม ก.ม. อาญา ม.304 และการกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ธนาคารพานิชย์เพราะไม่ใช่ทำการเป็นธนาคารพานิชย์และไม่มีสภาพคล้ายคลึงกับกิจการธนาคารตาม พ.ร.บ.ควบคุมกิจการค้าอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขแห่งสาธารณะชน พ.ศ. 2471 ม.7
โจทก์กล่าวฟ้องว่าก่อนคดีนี้จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษฐานไม่ทำบัญชีแสดงรายการรับและจำหน่ายน้ำตาลมาครั้งหนึ่ง ศาลพิพากษาปรับ 50 บาท ดังปรากฎในคดีแดงที่ 178/2489 พ้นโทษยังไม่เกิน 5 ปี จำเลยแถลงรับว่าเคยต้องโทษจริงตามฟ้อง แล้วโจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องว่า ความผิดฐานไม่ทำบัญชีซึ่งจำเลยเคยต้องโทษนั้นเป็นความผิดซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนลหุโทษและมิใช่ความผิดที่เกิดขึ้นด้วยประมาทศาลสองจำเลย จำเลยไม่คัดค้านศาลอนุญาตและปรากฎว่าในสำนวนเลขแดงที่ 178/2489 ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตาม พ.ร.บ.ภาษีอากรซื้อน้ำตาล ม.26 ที่บัญญัติให้มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาทหรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมิใช่ความผิดฐานลหุโทษ ดังนี้แม้ในฟ้องจะมิได้ระบุว่าโทษครั้งก่อนเนื่องจากความผิดต่อ ก.ม. ใดเลยก็เพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบตาม ก.ม. อาญา ม.72 ตามฟ้องของโจทก์ได้
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อ ก.ม. ในการวินิจฉัยปัญหาข้อ ก.ม. นั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
ย่อยาว
คดีสามสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
ในสำนวนที่ ๑ มีข้อหาในคำฟ้องว่าจำเลยทั้ง ๓ คนสมคบกันกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกันคือ
๑. จำเลยที่ ๑,๒,๓ สมคบกันประกอบการธนาคารพานิชย์ที่ตำบลบางนาค จังหวัดนราธิวาส โดยทำธุระกิจรับฝากเงินจากประชาชน ซึ่งต้องจ่ายคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๕๐ ของเงินฝากเมื่อสิ้นระยะเวลา ๑ เดือน และจำเลยนำเงินที่ได้รับฝากนั้นไปใช้ประโยชน์ในทางจ่ายหมุนเวียนทางอื่น ได้มีประชาชนนำเงินไปฝากจำเลยหมุนเวียนทางอื่น ได้มีประชาชนนำเงินไปฝากจำเลยและจำเลยจ่ายคืนไปบ้างแล้วยังคงค้างชำระอีก ๑๐,๑๑๕ ราย เป็นเงิน ๒๐,๑๓๐,๘๐๓ บาท กับ ๑๔,๒๖๘ เหรียญมลายู ทั้งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตาม ก.ม.
๒. จำเลยที่ ๑,๔ สมคบกันตั้งธนาคารพานิชย์ที่ตำบลสะเตง จังหวัดยะลา ในทำนองเดียวกับข้อ ๑. ซึ่งจำเลยยังไม่ได้ใช้เงิน ๒,๐๙๘ รายเป็นเงิน ๔,๑๕๐,๑๘๑ บาท
๓. จำเลยที่ ๑,๕ สมคบกันตั้งธนาคารพานิชย์ที่ตำบลอรเนาะรู จังหวัดปัตตานี ในทำนองเดียวกับข้อ ๑. ซึ่งจำเลยยังมิได้ใช้เงินอีก ๑,๒๗๗ ราย เป็นเงิน ๑,๘๔๓,๔๘๐ บาท
๔. จำเลยที่ ๑ กับพวกตั้งธนาคารพานิชย์ทำนองเดียวกับข้อ ๑ ที่ตำบลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งจำเลยยังไม่ได้ใช้เงินคืน ๘ ราย เป็นเงิน ๕๕๐๐ บาท
๕. จำเลยทั้ง ๕ สมคบกันใช้อุบายหลอกลวงประชาชนและผู้เสียหายในคดีนี้โดยโฆษณาชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากธนาคารพานิชย์ที่จำเลยตั้งขึ้นในข้อ ๑-๒-๓-๔ โดยจำเลยให้คำรับรองอันเป็นเท็จว่าจำเลยนำเงินนั้นไปหาประโยชน์ได้มากพอที่จะนำมาจ่ายเป็นดอกผลให้ผู้ฝากร้อยละ ๕๐ ต่อเดือน อย่างแน่นอน แต่ความจริงจำเลยเอาเงินทีมีผู้นำมาฝากใหม่นั้นเองจ่ายหมุนเวียนเป็นดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถึงกำหนดถอนคืนโดยเจตนามีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้ประชาชนนำเงินมามอบให้จำเลยโดยจำเลยมีเจตนาว่าเมื่อมีผู้นำเงินมามอบเป็นจำนวนมากแล้ว จำเลยก็จะเอาเงินนั้นเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย และได้มีผู้เสียหายนำเงินมามอบให้จำเลยที่จังหวัดนราธิวาส ๑๙๔ คน เป็นเงิน ๓,๗๙๙,๗๒๒ บ.กับ ๑๕๙๐ เหรียญมลายู ที่จังหวัดยะลา ๑๕ คนเป็นเงิน ๑๔๒,๙๐๐ บ. ที่จังหวัดปัตตานี ๑๘ คน เป็นเงิน ๑๓๓,๗๐๐ บ. จำเลยรับฝากแล้วเมื่อครบ ๑ เดือนจำเลยไม่จ่ายคืนตามกำหนดโดยจำเลยเจตนาทุจริตเบียดบังเอาเงินนั้นเป็นประโยชน์ของตนเสีย
ก่อนคดีนี้จำเลยที่ ๑ เคยต้องโทษฐานไม่ทำบัญชีแสดงรายการรับและจำหน่ายน้ำตาลซึ่งมิใช่ความผิดส่วนลหุโทษหรือประมาท ศาลจังหวัดนราธิวาสพิพากษาปรับ ๕๐ บาท ตามสำนวนคดีแดงที่ ๑๗๘/๒๔๘๙ พ้นโทษยังไม่เกิน ๕ ปี ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญา ม.๓๐๔,๒๗,๖๓,๗๑,๗๒ พ.ร.บ.การธนาคารพานิชย์ พ.ศ. ๒๔๘๘ ม.๔,๕,๓๐ พ.ร.บ.ควบคุมกิจการค้าขายอันกะทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขแห่งสาธารณะชน พ.ศ. ๒๔๗๑ ม.๗,๘ และ พ.ร.บ.กำหนดกระทรวง เจ้าหน้าที่รักษาการตาม พ.ร.บ.ควบคุมกิจการค้าขายอันกะทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขแห่งสาธารณะชน พ.ศ. ๒๔๗๑ พ.ศ. ๒๔๗๖ ม.๔(๒) ฯลฯ
ในสำนวนที่ ๒ มีข้อความว่านายประจวบ นายวิรุฬห์ สมคบกับจำเลยที่ ๑,๒,๓ ในสำนวนแรกทำผิดในข้อหาอันเดียวกัน
ในสำนวนที่ ๓ มีข้อหาว่า จำเลยทั้ง ๗ คนในสองสำนวนแรกสมคบกันฉ้อโกงชนิดเดียวกับสำนวนที่ ๑,๒ ฯลฯ
จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธว่ามิได้กระทำผิดนายอัมรินทร์จำเลยที่ ๑ รับว่าเคยต้องโทษจริงดังฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ มิได้มีเจตนาทุจริตคิดฉ้อโกงผู้เสียหายในคดีนี้ ส่วนจำเลยที่ ๑ กะการจะฉ้อโกงผู้ใดและเมื่อไรในภายหน้านั้นไม่ได้เป็นปัญหาในคดีนี้ และข้อหาโจทก์ที่ว่าจำเลยประกอบการธนาคารพานิชย์โดยมิได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.นั้น การกระทำของจำเลยหาใช่เป็นธนาคารไม่ พิพากษายกฟ้อง ของกลางคืนจำเลยที่ ๑ เว้นแต่เงินซึ่งเจ้าพนักงานยึดจากนายเวทและนายอรุณาให้คืนเจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ นั้นจะว่าไม่มีเจตนาทุจริตฉ้อโกงผู้เสียหายที่ร้องทุกข์หาได้ไม่ เพราะได้ใช้อุบายหลอกลวงบุคคลไม่เลือกหน้าไม่เลือกเวลาอยู่แล้ว ชั่วแต่ถ้าเกิดอุปสรรคขัดขวางต่อกิจการของจำเลยที่ ๑ ขึ้นเมื่อไรหรือจำเลยที่ ๑ พอใจจะเลิกเสียเมื่อไร เมื่อนั้นก็เป็นอันล้มเลิกกิจการ และบรรดาผู้ถูกหลอกลวงซึ่งจะไม่ได้รับเงินคืนก็คือผู้ที่ใบหุ้นของตนยังไม่ถึงกำหนดถอนคืนเมื่อล้ม แต่สำหรับจำเลยอื่น ๆ ได้ปฏิบัติการให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะคนงานและผู้ช่ายในกิจการของจำเลยที่ ๑ ยังไม่มีผิดเป็นตัวการ ฐานฉ้อโกงกับจำเลยที่ ๑
ส่วนในข้อหาว่าผิด พ.ร.บ.ควบคุมกิจการค้าขายอันกะทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขแห่งสาธารณะชน พ.ศ. ๒๔๗๑ นั้น จำเลยที่ ๑ มีผิดตาม ม.๘ แห่ง พ.ร.บ.นี้ แต่สำหรับจำเลยอื่นมีฐานะเสมอเป็นลูกจ้าง หามีความผิดด้วยไม่
ในข้อหาว่าจำเลยฝ่าฝืน พ.ร.บ.ธนาคารพานิชย์ พ.ศ. ๒๔๘๘ นั้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดตาม พ.ร.บ.นี้
พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตาม ก.ม. อาญา ม.๓๐๔,๗๑ และ พ.ร.บ.ควบคุมกิจการค้าขายอันกะทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขแห่งสาธารณะชนม.๗,๘ ให้จำคุก ๑๐ ปี และให้ใช้เงินแก่ผู้เสียหายตามบัญชีท้ายฟ้องบรรดาที่ได้ร้องทุกข์ ส่วนคำขอที่ให้เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบนั้นหาได้ระบุว่าโทษครั้งก่อนเนื่องจากความผิดต่อ ก.ม.ใดไม่ และศาลเพียงปรับ ๕๐ บาท อันอยู่ในอัตราความผิดที่เป็นลหุโทษจึงไม่เพิ่ม ฯลฯ ความอื่นนอกจากนี้คงยืน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทุกคนเต็มตามฟ้อง จำเลยที่ ๑ ฎีกาขอให้ยกฟ้องและชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากเป็นการเข้าหุ้น แต่การเข้าหุ้นนี้จำเลยคิดผลประโยชน์ให้ร้อยละ ๕๐ ต่อเดือน เป็นรายเดือน มีประชาชนหลายจังหวัดนำเงินมามอบให้จำเลยเป็นจำนวนมากมายหลายสิบล้านบาท เพราะหวังประโยชน์ตอบแทนอันสูง ข้อที่จำเลยแก้ว่าจำเลยนำเงินไปหมุนเวียนทำการค้ายานานาชนิด โดยเอากำไรมาแบ่งปันแก่ผู้ฝากหรือผู้ถือหุ้นนั้นไม่น่าเชื่อเพราะจำเลยมิได้มีบัญชีหรือหลักฐานอันใดแสดงให้เห็นเป็นเช่นนั้น และเมื่อคำนวนอัตราผลประโยชน์ร้อยละ ๕๐ ต่อเดือนที่จำเลยเคยคิดให้แล้วในต้นเงินเพียงร้อยบาท ถ้าฝาก่จำเลยสมทบทั้งต้นและผลประโยชน์ในปีหนึ่ง จำเลยจะต้องจ่ายเป็นเงินหนึ่งหมื่นเศษ ถ้าถึงปีที่ ๒ ก็เป็นจำนวนเงินเกินล้านบาท ซึ่งเป็นที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยจะไปหาผลกำไรจากการค้าที่ไหนมาจ่าย แม้แต่จำเลยเองก็ว่าหุ้นส่วนมีกำไรเท่าใดไม่อาจรู้ได้ แต่กระนั้นจำเลยก็คงจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ฝากไปได้ เหตุที่จำเลยจ่ายเงินปันผลทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่ามีกำไรเท่าใดนั้น ย่อมประกอบให้เห็นเจตนาจำเลยในการลวงให้เขาหลงเชื่อโดยแท้ ข้ออ้างจำเลยที่ว่าเพราะเจ้าพนักงานมาควบคุมหาให้กิจการชงักจึงไม่สามารถจ่ายเงินแก่ผู้ฝากนั้น ศาลฎีกากลับเห็รว่าถ้าเจ้าพนักงานไม่เข้าควบคุมแล้วก็อาจมีผู้รู้เท่าไม่ถึงการหาเงินมาฝากจำเลยมากขึ้นทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนยิ่งขึ้น
การกระทำของจำเลยเป็นการใช้อุบายเป็นทำนองว่าตนทำการค้าใหญ่โตเข้านำเงินมาฝากเข้าเป็นหุ้นส่วน โดยสัญญาจะจ่ายเงินปันผลให้เขาร้อยละ ๕๐ ต่อเดือน ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็รู้ดีว่าไม่สามารถจะจ่ายให้เขาได้ จึงนับว่าเป็นความเท็จจนเขาหลงเชื่อนำเงินมาฝากมากมายเช่นนี้ ย่อมเข้าอยู่ในลักษณะความผิดฐานฉ้อโกงตาม ม. ๓๐๔
การกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ธนาคารพานิชย์เพราะไม่ใช่ทำการเป็นธนาคารพานิชย์และไม่มีสภาพคล้ายคลึงกับกิจการธนาคาร ตาม พ.ร.บ.ควบคุมกิจการค้าขายอันกะทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขแห่งสาธารณะชน ม.๗ เพราะการกระทำไม่มีการออกเช็คหรือสั่งจ่ายเงินแต่อย่างใดระหว่างจำเลยกับผู้ฝากอันเป็นลักษณะของการธนาคาร เป็นการฝากเงินหรือเอาเงินมาเข้าหุ้นธนาคารเท่านั้น
ส่วนจะเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบได้หรือไม่นั้นเห็นว่าในฟ้องโจทก์กล่าวว่าก่อนคดีนี้จำเลยที่ ๑ เคยต้องโทษฐานไม่ทำบัญชีแสดงการรับและจำหน่ายน้ำตาลมาครั้งหนึ่ง ศาลพิพากษาปรับ ๕๐ บ. ดังปรากฎในคดีแดงที่ ๑๗๘/๒๔๘๙ พ้นโทษยังไม่เกิน ๕ ปีจำเลยแถลงยอมรับว่าเคยต้องโทษจริงตามฟ้อง ตามรายงานลงวันที่ ๘ ก.ย. ๙๔ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องเพิ่มเติมว่าความผิดฐานไม่ทำบัญชีซึ่งจำเลยเคยต้องโทษนั้นเป็นความผิดซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนลหุโทษและมิใช่ความผิดที่เกิดขึ้นด้วยความประมาท จำเลยไม่คัดค้านศาลอนุญาต และศาลฎีกาได้ตรวจดูสำนวนคดีแดงที่ ๑๗๘/๒๔๘๙ แล้วปรากฎว่าศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ภาษีการซื้อน้ำตาล ม.๒๗ ที่บัญญัติให้มีโทษปรับไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท หรือจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมิใช่ความผิดฐานลหุโทษ ฉนั้นจึงต้องเพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบ ๑ ใน ๓ ตาม ก.ม. อาญา ม.๗๒ ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยอื่นในฐานเป็นผู้สมรู้ด้วยจำเลยที่ ๑ นั้น ความข้อนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเหล่านี้ได้ปฏิบัติการให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะคนงานและผู้ช่วยภายในกิจการของจำเลยเท่านั้น ไม่แน่ชัดว่าจะล่วงรู้ในอุบายของจำเลยที่ ๑ ตลอด จึงไม่เอาผิด ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลนี้จะรื้อฟื้นขึ้นวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นไม่ได้
พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑๐ ปีตาม ก.ม.อาญา ม.๓๐๔ ,๗๑ เพิ่มโทษ ๑ ใน ๓ ตาม ม.๗๒ แต่คำให้การของจำเลยมีประโยชน์ในการพิจารณาอยู่บ้าง ปราณีให้ ๑ ใน ๓ ตาม ม.๕๙ เป็นอันไม่ต้องเพิ่มหรือลด ความอื่นนอกจากนี้คงพิพากษายืน