คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่พยานโจทก์ทั้งสองตรวจท้องที่มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ เห็นจำเลยถือถุงกระดาษเดินสวนทางมาท่าทางมีพิรุธจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและขอตรวจค้นถุงกระดาษที่จำเลยถือพบเฮโรอีนของกลาง โดยที่พยานทั้งสองปากไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนและขณะนั้นจำเลยเป็นหญิงมีครรภ์แก่ถึง 8 เดือน หากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง พยานทั้งสองก็คงจะไม่มีจิตใจโหดร้ายพอที่จะปรักปรำและใส่ร้ายถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะ ก.เป็นนายตำรวจสัญญาบัตรชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้มีวัยวุฒิ สูงแล้วคงจะมีความรู้สึกสำนึกในมโนธรรมอยู่บ้าง อีกทั้งที่เกิดเหตุก็เป็นบริเวณถนนซอยสาธารณะเป็นที่เปิดเผยย่อมเป็นที่รู้เห็นแก่ประชาชนผู้สัญจรไปมาทั่ว ๆ ไป รูปการณ์จึงไม่มีเหตุและความจำเป็นที่พยานทั้งสองจะเสี่ยงกระทำในสิ่งที่ไม่ชอบธรรมและโดยปราศจากข้อความจริงเช่นนั้น พยานหลักฐานโจทก์จึงกอปรด้วยเหตุผลมีน้ำหนักน่ารับฟังส่วนพยานจำเลยมีนางส.ซึ่งนอกจากจะเป็นมารดาของจำเลยแล้วก็ยังมิได้อยู่รู้เห็นในที่เกิดเหตุ และถึงอย่างไรวิสัยมารดาย่อมต้องรักห่วงบุตรยิ่งกว่าชีวิต สำหรับพยานปากอื่นของจำเลยก็เบิกความขัดกันจึงมีพิรุธน่าสงสัย ทั้งพยานจำเลยที่อยู่ในที่เกิดเหตุระหว่างนั้นก็น่าจะพอรู้เห็นได้ว่าถุงกระดาษของกลางเป็นของบุคคลใดเนื่องจากราคาเฮโรอีนที่อยู่ในถุงกระดาษมีราคาถึง 32,000 บาท จึงมิใช่เรื่องเล็กน้อยที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะนำมาวางทิ้งไว้เสมือนหนึ่งไม่สนใจใยดีอย่างนั้นพฤติการณ์พยานจำเลยจึงมีข้อสงสัยขึ้นอีกไม่มีน้ำหนักรับฟังพอแก่การหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2539 เวลากลางวัน จำเลยมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 40 หลอดน้ำหนัก 31,100 บาท คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 21.048 กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เหตุเกิดที่แขวงวัดพระยาไกรเขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเฮโรอีนดังกล่าวเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102ริบเฮโรอีนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคหนึ่ง ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 25 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 20 ปีริบเฮโรอีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกรออกตรวจท้องที่ตามปกติโดยแต่งกายนอกเครื่องแบบได้ตรวจพบและยึดถุงกระดาษสีน้ำตาลมีหูหิ้วได้ 1 ใบ ภายในมีกล่องยาสีฟันยี่ห้อดาร์ลี่ 2 กล่อง บรรจุเฮโรอีนชนิดผงสีขาวอยู่ในหลอดพลาสติกขนาดเบอร์ 5 จำนวน 40 หลอด น้ำหนัก31.100 กรัม คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 21.048 กรัม จึงยึดเป็นของกลางและจับจำเลยในที่เกิดเหตุส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาในทำนองว่าเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลยตรวจพบและยึดถุงกระดาษของกลางได้จากบริเวณเสาไฟฟ้าในที่เกิดเหตุมิได้ยึดได้จากตัวจำเลย ซึ่งข้อนี้ร้อยตำรวจเอกเกษม เพียรนิรมิต และจ่าสิบตำรวจสำเรือน ภูทอง ประจักษ์พยานโจทก์ต่างเบิกความยืนยันต้องกันว่าเมื่อพยานทั้งสองตรวจท้องที่มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ พบเห็นจำเลยถือถุงกระดาษดังกล่าวเดินสวนทางมาท่าทางเป็นพิรุธ จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและขอตรวจค้นถุงกระดาษที่จำเลยถือพบเฮโรอีนของกลางดังกล่าวจึงจับกุมจำเลยพร้อมกับยึดของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ชั้นจับกุมจำเลยในการรับสารภาพดังปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 โดยมีพยานทั้งสองปากไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนและขณะนั้นจำเลยเป็นผู้หญิงมีครรภ์แก่ถึง 8 เดือน ฉะนั้น หากเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงพยานทั้งสองก็คงจะไม่จิตใจโหดร้ายพอที่จะปรักปรำและใส่ร้ายจำเลยถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะร้อยตำรวจเอกเกษมเป็นนายตำรวจสัญญาบัตรชั้นผู้ใหญ่ ทั้งเป็นผู้มีวัยวุฒิสูงแล้วด้วยคงจะมีความรู้สึกสำนึกในมโนธรรมอยู่บ้าง อีกทั้งที่เกิดเหตุก็เป็นบริเวณถนนซอยสาธารณะเป็นที่เปิดเผย ย่อมเป็นที่รู้เห็นแก่ประชาชนผู้สัญจรไปมาทั่ว ๆ ไปรูปการณ์จึงไม่มีเหตุและไม่มีความจำเป็นที่พยานทั้งสองจะเสี่ยงกระทำในสิ่งที่ไม่ชอบธรรมและโดยปราศจากข้อความจริงเช่นนั้น นอกจากนี้ตัวจำเลยเองยังได้เบิกความตอบอัยการโจทก์ถามค้านว่า ในวันที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่า จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพ แต่ต่อมาในชั้นสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่ามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยจึงให้การปฏิเสธซึ่งก็ได้ความเจือสมกับพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวและเอกสารหมาย จ.2พยานหลักฐานโจทก์จึงกอปรด้วยเหตุผลมีน้ำหนักน่ารับฟัง ส่วนพยานจำเลยแม้จะมีนางสวาท เนินงอกงาม และนายสุพจน์ วงษ์เรือง มาเบิกความทำนองว่าจำเลยมิได้กระทำผิด แต่นางสวาทนอกจากจะเป็นมรดกของจำเลย แล้วก็ยังมิได้อยู่รู้เห็นในที่เกิดเหตุ และถึงอย่างไรวิสัยมารดาย่อมต้องรักห่วงบุตรยิ่งกว่าชีวิต สำหรับนายสุพจน์ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของจำเลยเองแล้วยังได้เบิกความตอบอัยการโจทก์ถามค้านว่า ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นจำเลยในที่เกิดเหตุนั้นมีเพียงจำเลยคนเดียว ซึ่งขัดกับคำเบิกความของนางสมศรี น้อยอร่าม และนางน้อยสร้อยสนธิ์ พยานจำเลยที่เบิกความว่า นอกจากพยานทั้งสองแล้วขณะนั้นยังมีบุคคลอื่นมาซื้อลูกชิ้นปิ้งของนางสมศรีอยู่อีกหลายคน พยานจำเลยทั้งสามดังกล่าวจึงมีพิรุธน่าสงสัยและหากว่านางสมศรีกับนางน้อยอยู่ในที่เกิดเหตุระหว่างนั้นก็น่าจะพอรู้เห็นได้ว่าถุงกระดาษของกลางเป็นของบุคคลใด เนื่องจากเฮโรอีนของกลางที่อยู่ในถุงกระดาษตามที่ปรากฏในบัญชีของกลางตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นราคาต่ำสุดกว่าของท้องตลาดแล้วยังมีราคาถึง 32,000 บาท จึงมิใช่เรื่องเล็กน้อยที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะนำมาวางทิ้งไว้เสมือนหนึ่งไม่สนใจใยดีอย่างนั้น พฤติการณ์พยานจำเลยจึงมีข้อน่าสงสัยขึ้นอีกไม่มีน้ำหนักน่ารับฟังพอแก่การหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ อนึ่ง ข้อที่ร้อยตำรวจเอกเกษมเบิกความว่า พยานจับกุมจำเลยได้ในวันที่ 10 มกราคม 2539 เวลาประมาณ 5 นาฬิกาก็ดี หรือเวลาที่จับจำเลยได้ตอน 15.30 นาฬิกา กับเวลาที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมนำตัวจำเลยส่งแก่พนักงานสอบสวนเวลาเดียวกันตอน15.30 นาฬิกา ตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกพงษ์มล แสงหิรัญก็ดี หรือตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 ที่มีรายชื่อของผู้ร่วมจับกุมหลายคนน่าจะเกินไปจากความเป็นจริงก็ดี จะถือเป็นสิ่งน่าสงสัยเสียเลยทีเดียวมิได้ เพราะนอกจากจะเป็นข้อปลีกย่อยแล้วตามที่ปรากฏในคำให้การของร้อยตำรวจเอกเกษมในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.3ก็ได้ระบุวันเวลาเกิดเหตุไว้ถูกต้องตามความจริงและเรื่องต่าง ๆเหล่านี้ จำเลยไม่เคยติดใจสงสัยและไม่ได้ซักค้านพยานโจทก์ที่เกี่ยวข้องให้มีโอกาสได้เบิกความเสียให้หมดสิ้นกระแสความ อีกทั้งจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ในเรื่องการสอบสวนและยังได้เบิกความยอมรับว่าหลังจากนั้น (น่าจะหมายถึงหลังจากวันที่ถูกจับกุม) อีก 2 วันร้อยตำรวจเอกพงษ์กมล แสงหิรัญได้เรียกจำเลยไปสอบปากคำอีก จำเลยให้การปฏิเสธ ดังนั้น หากว่าในวันถูกจับกุมรวมทั้งถูกควบคุมตัวหลายวัน จำเลยมีความจำเป็นและรีบร้อนเนื่องจากเจ็บครรภ์เสมือนคนใกล้คลอดบุตรจริง ก็น่าจะมีการแสดงออกทางกายภาพและการร้องขอแต่ความก็ไม่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้ข้อเท็จจริงจึงแน่ใจได้ว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับการกระทำความผิด ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลดโทษให้จำเลยเพียงหนึ่งในห้านั้นเมื่อได้คำนึงถึงความเป็นไปของจำเลยและพฤติการณ์ความผิดประกอบแล้ว เห็นว่าน่าที่จะต้องลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามจึงจะเหมาะสมแก่รูปคดี”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและเบิกความยอมรับถึงคำรับดังกล่าวในชั้นศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษสมควรลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 16 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share