คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1196/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ 2 มีที่พักอยู่ในบริเวณบริษัทซึ่งใช้เป็นโรงรถด้วย เมื่อเลิกงานจำเลยที่ 1 รวมทั้งพนักงานขับรถคนอื่น ๆ จะนำรถเข้าจอดในโรงรถเอากุญแจรถแขวนไว้ข้างฝาผนังโรงรถ พนักงานขับรถสามารถหยิบกุญแจไปได้ ตอนเช้าพนักงานขับรถแต่ละคนก็ขับรถคันที่ตนขับประจำออกไปปฏิบัติงาน เท่ากับว่าจำเลยที่ 2 มอบรถให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บหลังเลิกงานเพื่อนำรถออกปฏิบัติงานในวันต่อไป แม้จะให้เอากุญแจรถแขวนไว้ข้างฝาก็มิได้เก็บมิดชิดรัดกุม ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมให้พนักงานขับนำรถออกไปใช้เมื่อหมดเวลาทำงานหรือในวันหยุดได้ด้วย ดังนั้นแม้วันเกิดเหตุจะเป็นวันหยุดงานและเกิดเหตุนอกเวลาทำงานและจำเลยที่ 1 เอารถคันเกิดเหตุออกไปส่งญาติ ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถออกไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดในการละเมิดของจำเลยที่ 1.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ไปตามถนนพระรามที่ 5 ด้วยความประมาท เมื่อขับมาถึงบริเวณปากซอยสรรพวุธนิเวศน์ จำเลยที่ 1 ได้ขับรถล้ำเส้นกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องทางเดินรถด้านขวา เป็นเหตุให้ชนกับรถแท๊กซี่ซึ่งมีโจทก์และนางสาวสุนันทา สีชมภู เป็นผู้โดยสารแล่นสวนทางมา ทำให้โจทก์ได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัสส่วนคนขับรถแท๊กซี่กับนางสาวสุนันทา สีชมภู ถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,816,007 บาท จำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ จึงขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 1,816,007 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 เนื่องจากในวันเกิดเหตุเป็นวันหยุดงานเพราะเป็นวันสงกรานต์ จำเลยที่ 1 แอบลักลอบนำรถของจำเลยที่ 2 ไปใช้โดยพลการ โดยจำเลยที่ 2 ไม่รู้เห็นยินยอมและเหตุที่เกิดชนกันครั้งนี้ มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 แต่เป็นความประมาทของคนขับรถแท๊กซี่ โจทก์มิได้เสียหายตามฟ้อง ขอให้พิพากษายกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การรับว่าได้รับประกันภัยไว้จริง แต่รับประกันภัยจากบุคคลอื่นมิใช่จำเลยที่ 2 ทั้งความรับผิดตามสัญญามีไม่เกิน 100,000 บาท จำเลยที่ 3 ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว 37,000 บาท หากจะต้องรับผิดอีกก็ไม่เกิน 63,000บาทอย่างไรก็ตามเหตุที่ชนกันครั้งนี้มิใช่ความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่เป็นความประมาทของคนขับรถแท๊กซี่ ค่ารักษาพยาบาลและค่าเลี้ยงชีพที่โจทก์เรียกร้องมานั้นสูงเกินสมควรส่วนค่าขาดไร้อุปการะนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกได้ตามกฎหมายขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน 554,807 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 13 เมษายน 2524 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2ในวงเงิน 63,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 13 เมษายน 2524 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2และที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาในชั้นนี้ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถคันเกิดเหตุนี้ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 อันจะทำให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ และจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด สำหรับในปัญหาข้อแรกนั้น จริงอยู่โจทก์คงมีเพียงนายสมยศ ชีพสัตยาภรผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์แต่เพียงผู้เดียว เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 กับมีร้อยตำรวจเอกประจักษ์ นาคศรีสุขพนักงานสอบสวนที่สอบสวนคดีอาญาในกรณีเดียวกันนี้ เบิกความว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ชดใช้ค่าเสียหายในกรณีที่ทำให้คนขับรถแท๊กซี่ กับนางสาวสุนันทาถึงแก่ความตายจากการประมาทของจำเลยที่ 1 ไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามได้ความจากพยานจำเลยที่ 2 คือนางมัธนา สันติบูรณ์ ผู้จัดการของจำเลยที่ 2 เบิกความว่า บริษัทจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย มีรถบรรทุกอยู่ 5 คัน เพื่อใช้บรรทุกปูนซิเมนต์ มีพนักงานขับรถ 5คน ประจำรถคนละคัน จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถคนหนึ่ง และได้ความจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 1 พักอยู่ในบ้านพักคนงานอยู่ในบริเวณบริษัท ซึ่งใช้เป็นที่จอดรถบรรทุกทั้งห้าคันของจำเลยที่ 2 ด้วย นายโกโฮ้ย แซ่อึ้งหรือฮ้อ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ควบคุมดูแลคนงาน พักอยู่ในบ้านพักในบริเวณบริษัท เบิกความว่า คนขับรถจะนำรถออกเวลาประมาณ 7 นาฬิกา และนางมัธนาเบิกความอีกตอนหนึ่งว่า เมื่อจอดรถจะต้องนำกุญแจรถไปแขวนไว้ที่ฝาผนังโรงจอดรถถ้าพนักงานคนใดจะขับรถก็สามารถหยิบกุญแจไปได้ ไม่มีผู้ควบคุมกุญแจรถ วันเกิดเหตุเป็นวันหยุดวันสงกรานต์ บริษัทจำเลยที่ 2 หยุดงาน รถจอดอยู่ในโรงเก็บรถและได้ความจากจำเลยที่ 1 อีกว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 หยิบเอากุญแจรถและขับรถคันเกิดเหตุออกไปส่งญาติที่มาหาจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้ขออนุญาตนายโกโฮ้ย เห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนขับลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มีที่พักอยู่ในบริเวณบริษัท ซึ่งใช้เป็นโรงรถด้วยพอเลิกงานจำเลยที่ 1รวมทั้งคนขับรถคนอื่น ๆ นำรถเข้าจอดในโรงรถ เอากุญแจรถแขวนไว้ข้างฝาผนังโรงรถ พนักงานขับรถสามารถหยิบเอากุญแจไปได้ ตอนเช้าคนขับรถแต่ละคนก็ขับรถคันที่ตนขับประจำออกไปปฏิบัติงาน เท่ากับว่าจำเลยที่ 2 มอบรถให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บหลังเลิกงานเพื่อจะนำรถออกไปปฏิบัติงานในวันต่อไปกุญแจรถแม้จะให้เอาแขวนไว้ข้างฝา ก็มิได้เก็บมิดชิดรัดกุมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมให้คนขับนำรถออกไปใช้เมื่อหมดเวลาทำงานหรือในวันหยุดได้ด้วย ดังนั้น แม้วันเกิดเหตุจะเป็นวันหยุดงานและเกิดเหตุนอกเวลาทำงาน และจำเลยที่ 1เอารถคันเกิดเหตุออกไปส่งญาติที่มาหาจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยที่ 2 นำสืบ ก็ถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถออกไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 อันจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดในความประมาทของจำเลยที่ 1
สำหรับปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เพียงใดนั้น เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าโจทก์ได้เสียค่ารักษาพยาบาลไปตามจำนวนที่โจทก์นำสืบจริง และอาการของโจทก์นั้น จำเลยก็มิได้นำสืบโต้แย้งอย่างใดจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ต้องพิการตลอดชีวิตสำหรับค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถในการประกอบการงานโดยสิ้นเชิงนั้น ที่ศาลชั้นต้นคิดให้โจทก์เป็นเงินก้อนจำนวน 540,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับเงินเดือนของโจทก์เป็นเวลาประมาณ 10 ปีเท่านั้น นับว่าเป็นจำนวนน้อยอยู่แล้ว แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์จึงให้โจทก์ได้รับตามจำนวนดังกล่าว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share