คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2266/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นคนกลางติดต่อไถ่รถจักรยานยนต์ร่วมกับผู้อื่นตามที่ผู้เสียหายกับพวกขอร้อง แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับรถจักรยานยนต์ไว้จากคนร้ายหรือร่วมรู้กับคนร้ายมาเรียกค่าไถ่จากผู้เสียหาย การที่จำเลยขี่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาส่งให้แก่ผู้เสียหาย เป็นเรื่องนำมาคืนตามที่ผู้เสียหายกับพวกขอร้องให้ทำ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339, 340 ตรี, 357, 83
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสอง จำคุก 2 ปี ส่วนจำเลยอื่นให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2526 เวลาประมาณเที่ยงวัน นายถาวรผู้เสียหายขี่รถจักรยานยนต์ 1 คัน ราคา26,000 บาท รับจ้างโดยให้ชายคนหนึ่งกับหญิงคนหนึ่งนั่งซ้อนท้ายจากสถานีรถไฟชะอวดไปส่งที่บ้านทุ่งค่ายเมื่อผู้เสียหายขี่จักรยานยนต์ไปได้ประมาณ 7 กิโลเมตรก็ถูกชายที่นั่งซ้อนท้ายมาใช้อาวุธปืนจี้ชิงเอารถจักรยานยนต์ไปผู้เสียหายไปขอให้นายนุกูลผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านช่วยติดตามเอารถคืน นายนุกูลไปกับจำเลยที่ 2 แล้วกลับมาบอกว่า คนร้ายจะเอาค่าไถ่ผู้เสียหายมอบให้นายนุกูลติดต่อเพื่อไถ่รถคืน ในที่สุดผู้เสียหายเสียค่าไถ่ 3,000 บาทแล้วในคืนนั้นจำเลยที่ 2 ก็ขี่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกชิงไปมาคืนแก่ผู้เสียหายฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนกลางติดต่อไถ่รถร่วมกับผู้อื่นซึ่งผู้เสียหายกับพวกได้ขอร้องให้ทำ แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับรถไว้จากคนร้ายหรือร่วมรู้กับคนร้ายมาเรียกค่าไถ่จากผู้เสียหาย การที่จำเลยที่ 2 ขี่รถของผู้เสียหายมาส่งให้แก่ผู้เสียหาย เป็นเรื่องนำมาคืนตามที่ผู้เสียหายกับพวกได้ขอร้องให้ทำการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร
พิพากษายืน.

Share