แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยบุกรุกที่เกิดเหตุในเวลาเดียวกับกระทำอนาจารการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ดังนี้เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในข้อหากระทำอนาจารซึ่งจำเลยถูกฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยในข้อหาบุกรุกก็เป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4)
ในคดีก่อนพนักงานอัยการซึ่งเป็นโจทก์บรรยายฟ้องไว้และจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุเดียวกันกับคดีนี้ จำเลยกระทำอนาจารนางสาวสำอางค์ โดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดรัดตัวนางสาวสำอางค์และใช้กรรไกรจี้บังคับ และแทงเฉี่ยวบริเวณหน้าอกของนางสาวสำอางค์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทั้งนี้เพื่อให้นางสาวสำอางค์ยอมให้จำเลยกระทำชำเรา ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยข้อหาพยายามฆ่าโดยใช้กรรไกรแทงนางสาวสำอางค์เป็นคดีนี้ จึงเป็นการกระทำครั้งคราวเดียวกันและเป็นกรรมเดียวกัน ซึ่งจะต้องฟ้องเป็นคดีเดียวดังนี้ฟ้องของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ เวลากลางวันจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินอันเป็นบริเวณที่โจทก์ทั้งสองอยู่อาศัย โดยมิได้รับอนุญาตและไม่มีอันสมควร ต่อมาโจทก์ที่ ๑ ไปเก็บมะเขือ จำเลยใช้ปืนพกจี้บังคับและใช้กำลังกายกอดปล้ำจะกระทำชำเรา แต่โจทก์ที่ ๑ ดิ้นรนต่อสู้จำเลยจึงใช้กรรไกรแทงโจทก์ที่ ๑ อย่างแรงหลายครั้งโดยเจตนาฆ่าจำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่ไม่บรรลุผล พนักงานอัยการจังหวัดลพบุรีฟ้องจำเลยในข้อหากระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายเพียงข้อหาเดียว ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ๖ เดือน ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๓๐/๒๕๒๘ ของศาลจังหวัดลพบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๔, ๓๖๕(๒), ๒๘๘, ๘๐, ๙๑
จำเลยไม่ได้ให้การ ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อหาบุกรุกเป็นกรรมเดียวกับข้อหากระทำอนาจารซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยในข้อหานี้อีกไม่ได้ ส่วนข้อหาพยายามฆ่าเป็นคนละกรรม พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ จำคุก ๑๐ ปี ยกข้อหาอื่น
โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาฐานพยายามฆ่าด้วย
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยบุกรุกที่เกิดเหตุในเวลาเดียวกับกระทำอนาจารโจทก์ที่ ๑ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ซึ่งข้อหากระทำอนาจารดังกล่าวจำเลยถูกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยในข้อหาบุกรุกอันเป็นกรรมเดียวกับข้อหากระทำอนาจารย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๙ (๔)
โจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้ว่า จำเลยมีอาวุธปืนพกและกรรไกรติดตัวจี้บังคับโจทก์ที่ ๑ และใช้กำลังกายกอดปล้ำจะกระทำชำเราแต่โจทก์ที่ ๑ ดิ้นรนต่อสู้ จำเลยจึงใช้กรรไกรที่ติดตัวมาเป็นอาวุธแทงโจทก์ที่ ๑ อย่างแรงหลายครั้งที่บริเวณหน้าอกด้านขวาโดยเจตนาฆ่าปรากฏว่าพนักงานอัยการจังหวัดลพบุรี เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้ ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๓๐/๒๕๒๖ โดยบรรยายฟ้องไว้และจำเลยให้การรับสารภาพศาลจังหวัดลพบุรีรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ในวันเวลาเดียวกันกับวันเวลาที่เกิดเหตุคดีนี้ และสถานที่เกิดเหตุเดียวกัน จำเลยกระทำอนาจารแก่นางสาวสำอางค์ (โจทก์ที่ ๑ คดีนี้) โดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดรัดตัวนางสาวสำอางค์และใช้กรรไกรจี้บังคับ และแทงเฉี่ยวบริเวณหน้าอกของนางสาวสำอางค์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทั้งนี้เพื่อให้นางสาวสำอางค์ยอมให้จำเลยกระทำชำเรา แต่นางสาวสำอางค์ไม่ยอมและดิ้นรนต่อสู้สะบัดหลุดหนีไปได้ ศาลจังหวัดลพบุรีพิพากษาลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารแก่นางสาวสำอางค์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘ ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๔๓๐/๒๕๒๖ ของศาลจังหวัดลพบุรีคดีถึงที่สุดแล้ว ข้อหาพยายามฆ่าโดยใช้กรรไกรแทงโจทก์ที่ ๑ ในคดีนี้กับการใช้กรรไกรแทงโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นการกระทำครั้งคราวเดียวกันและเป็นกรรมเดียวกัน ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องเป็นคดีเดียว เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนโจทก์ที่ ๑ บาดเจ็บ โดยศาลวินิจฉัยการกระทำที่ก่อให้เกิดความผิดนั้น และพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้วตามคดีอาญาดังกล่าว โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าซึ่งเป็นกรรมเดียวกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๓๐/๒๕๒๖ ของศาลจังหวัดลพบุรีไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๔)
พิพากษายืน.