คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1193/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แต่เดิมจำเลยได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เป็นทนายฟ้องเรียกมรดก ต่อมาจำเลยได้ทำสัญญายอมกับอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วจ่ายค่าจ้างว่าความไม่ครบตามสัญญา โจทก์จึงฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าจ้างว่าความ จำเลยได้นำเอกสารใบมอบอำนาจซึ่งจำเลยมอบอำนาจให้บุคคลอื่นเป็นตัวแทนในการว่าจ้างว่าความ หากไม่ได้รับความยินยอมจากตัวแทนก็ไม่ผูกมัดจำเลยแสดงต่อศาล ศาลพิพากษาว่าทรัพย์มรดกที่ฟ้องเรียกนั้นมีราคาเพียง 1 ล้าน โจทก์ได้ปฏิบัติงานไม่ครบถ้วนตามสัญญา จำเลยได้รับมรดกเพียง 2 แสนบาท ได้จ่ายค่าจ้างทนายเป็นเงิน 27,000 บาท พอสมควรแก่การปฏิบัติงานแล้ว โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีอาญาในคดีนี้ว่าจำเลยแสดงพยานหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 ศาลฎีกาเห็นว่าใบมอบอำนาจนั้นยังถือไม่ได้ว่าเป็นพยานหลักฐานในข้อสำคัญในคดี การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นความผิดดังโจทก์ฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑, ๒ ร่วมกันทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เป็นทนาย ฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของบิดา ให้ค่าจ้างเป็นเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระหว่างดำเนินคดีจำเลยที่ ๑, ๒ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ เมื่อโจทก์ทราบได้เรียกให้ชำระค่าจ้างแต่จำเลยไม่ยอมชำระ โจทก์จึงฟ้องต่อศาลตามคดีหมายเลขดำที่ ๓๒/๒๕๐๖ จำเลยได้สมคบกันกระทำผิดกฎหมาย กล่าวคือ จำเลยกับพวกได้ร่วมกันทำเอกสารปลอมขึ้นฉบับหนึ่งคือใบมอบอำนาจทั่วไปมีข้อความสารสำคัญว่า จำเลยที่ ๑, ๒ แต่งตั้งให้นายเกลื่อน รัตนกรัณฑ์ เป็นตัวแทนในคดีมรดก การหาทนายความทำสัญญาใด ๆ ที่ทำขึ้นนั้น หากนายเกลื่อนมิได้รับทราบถือว่าสัญญานั้นไม่สมบูรณ์ จำเลยกับพวกลงวันเดือนปีย้อนหลัง ซึ่งเป็นความเท็จ แล้วจำเลยกับพวกได้ร่วมกันนำใบมอบอำนาจปลอมยื่นต่อศาลเป็นพยานหลักฐาน หากใบมอบอำนาจที่จำเลยทำขึ้นใช้บังคับได้ โจทก์ไม่ได้รับชำระค่าจ้างว่าความขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๐, ๓๕๐, ๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๐, ๘๓ ให้จำคุก ๓ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท โทษจำให้รอ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำคุกสูงขึ้น จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้เอกสารใบมอบอำนาจนั้นจะเป็นเอกสารที่ทำขึ้นอันเป็นเท็จ และจำเลยได้ยื่นส่งเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งนั้นก็ดี ก็ไม่ใช่พยานหลักฐานสำคัญในคดี เพราะราคาทรัพย์ที่จำเลยที่ ๑, ๒ จ้างโจทก์เป็นทนายฟ้องเรียกนั้นมีราคาเพียง ๑ ล้านกว่าบาท และโจทก์ได้ปฏิบัติงานที่รับจ้างนอกเหนือไม่ครบถ้วนตามสัญญา จำเลยที่ ๑, ๒ ได้รับส่วนแบ่งมรดกเป็นเงินเพียง ๒ แสนกว่าบาท จำเลยที่ ๑, ๒ ได้จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ไปแล้วเป็นเงิน ๒๗,๐๐๐ บาทพอสมควรแก่การปฏิบัติงานของโจทก์ที่ทำมานั้นแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างตามสัญญา จึงถือไม่ได้ว่าข้อความตามใบมอบอำนาจเป็นพยานหลักฐานในข้อสำคัญในการพิจารณาคดีนั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๐ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share