คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1192/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อมาสด้าแบบเก๋งจากบริษัทจำเลย และยังได้ทำหนังสือรับรองให้จำเลยยึดถือไว้มีความตอนแรกว่า”…นอกจากข้าพเจ้าจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวแล้วข้าพเจ้าขอรับรองต่อบริษัทฯ ตามเงื่อนไขแห่งข้อความต่อไปนี้อีกด้วยคือ…”และข้อ 2 แห่งหนังสือรับรองก็ว่า “เนื่องจากราคาค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่เช่าซื้อนี้บริษัทฯ ได้คิดให้ข้าพเจ้าในราคาต่ำกว่าราคาที่ขายทั่วไป ดังนั้นในระหว่างอายุแห่งสัญญาเช่าซื้อยังไม่ครบกำหนด ข้าพเจ้าจะไม่นำรถคันที่เช่าซื้อนี้โอนให้แก่บุคคลภายนอกไม่ว่าโดยนิตินัยหรือพฤตินัยเป็นอันขาด และหากข้าพเจ้าจะต้องออกจากงานของบริษัทไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ข้าพเจ้าจะต้องจัดการชำระค่าเช่าซื้อที่ติดค้างทั้งหมดแก่บริษัทฯ ทันที หรือจะต้องเพิ่มราคาค่าเช่าซื้อตามจำนวนที่บริษัทฯ ได้ลดให้และจัดหาหลักประกันให้แก่บริษัทฯ จนเป็นที่พอใจแล้วแต่กรณี” และในข้อ 3มีข้อความว่า “ให้ถือเอาเงื่อนไขแห่งหนังสือนี้ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งแห่งสัญญาเช่าซื้อฉบับลงวันที่ 11 เดือยเมษายน พ.ศ. 2512 โดยเป็นสารสำคัญอันเป็นเหตุให้บริษัทฯ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ เดือนเมษายนพ.ศ. 2512 โดยเป็นสารสำคัญอันเป็นเหตุให้บริษัทฯ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ ในกรณีที่ข้าพเจ้าปฏิบัติผิดสัญญานี้” จากข้อความในหนังสือรับรองดังกล่าวแล้วนี้ ล้วนแต่เป็นเงื่อนไขที่โจทก์สมัครใจยินยอมผูกพันตนกับจำเลยเองและยอมรับเอาผลที่จะเกิดจากการแสดงเจตนาตามข้อความในหนังสือรับรองนั้น ดังนั้นโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหนังสือรับรองดังกล่าว แม้จำเลยจะมิได้เซ็นชื่อในหนังสือนั้นก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยตกลงกับโจทก์ตามนั้น เพราะจำเลยเป็นฝ่ายยึดถือหนังสือรับรองนี้ไว้ และยังถือได้อีกว่าหนังสือรับรองดังกล่าวเป็นเงื่อนไขอันหนึ่งของสัญญาเช่าซื้อด้วยเมื่อสัญญาเช่าซื้อสมบูรณ์ ข้อความตามหนังสือรับรองก็ใช้บังคับได้ไม่เป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากจำเลยในราคา59,800 บาท ชำระค่าเช่าซื้อวันทำสัญญา 13,000 บาท ส่วนที่เหลือโจทก์สัญญาว่าจะชำระให้เสร็จภายใน 30 เดือน โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามสัญญา โจทก์แจ้งให้จำเลยโอนทะเบียนรถยนต์คันที่จำเลยเช่าซื้อให้โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจโอนรถต่อไปให้บุคคลอื่นได้ โจทก์ขอคิดค่าเสียหาย 5,000 บาทขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวใส่ชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาศาลเป็นการแสดงเจตนา ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 5,000 บาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาทแก่โจทก์จนกว่าจะโอนทะเบียนรถให้โจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากจำเลยตามฟ้องจริง ในขณะที่จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อนั้น โจทก์เป็นพนักงานขายรถของบริษัทจำเลย จำเลยจึงคิดราคาเช่าซื้อถูกกว่าราคาท้องตลาด และโจทก์ได้ทำหนังสือรับรองให้จำเลยไว้ในวันที่ทำสัญญาเช่าซื้อนั้นเอง โดยให้ถือเอาเงื่อนไขในหนังสือรับรองทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งแห่งสัญญาเช่าซื้อ ถือเอาเป็นสารสำคัญอันเป็นเหตุให้บริษัทจำเลยบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ในกรณีที่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญา เงื่อนไขในหนังสือรับรองมีว่า เนื่องจากราคาค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่บริษัทจำเลยได้คิดลดให้โจทก์ในราคาต่ำกว่าราคาที่ขายทั่วไป ดังนั้นในระหว่างอายุแห่งสัญญาเช่าซื้อยังไม่ครบกำหนด โจทก์จะไม่นำรถคันที่เช่าซื้อโอนให้บุคคลภายนอกไม่ว่าโดยนิตินัยหรือพฤตินัยเป็นอันขาด และหากโจทก์จะต้องออกจากงานของบริษัทจำเลยไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม โจทก์จะต้องจัดการชำระค่าเช่าซื้อที่ติดค้างทั้งหมดแก่บริษัทจำเลยทันที หรือจะต้องเพิ่มราคาค่าเช่าซื้อตามจำนวนที่บริษัทจำเลยได้ลดให้ และหาหลักประกันให้แก่บริษัทจำเลยจนเป็นที่พอใจแล้วแต่กรณี ในระหว่างอายุสัญญาเช่าโจทก์ลาออกจากงานบริษัทจำเลย สิทธิที่โจทก์จะได้รับส่วนลดจึงหมดไปตามเงื่อนไขในสัญญาโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระส่วนลด 5,000 บาทแก่บริษัทจำเลย ขอให้ศาลยกฟ้องและให้โจทก์ชำระเงิน 5,000 บาท แก่จำเลยพร้อมทั้งดอกเบี้ย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นราคาท้องตลาดโจทก์ไม่ได้รับส่วนลดตามที่จำเลยกล่าวอ้าง สัญญาเช่าซื้อข้อ 10 ระบุว่าเมื่อโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว จำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ให้ หนังสือรับรองเป็นโมฆะ เพราะจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาประธานหนังสือรับรอง แม้จำเลยจะไม่ได้เซ็นชื่อแต่ถือได้ว่าตกลงกับโจทก์ตามนั้น ข้อความตามหนังสือรับรองเป็นเงื่อนไขอันหนึ่งของสัญญาเช่าซื้อ บังคับได้ไม่เป็นโมฆะ เมื่อเงื่อนไขในหนังสือรับรองมีว่า โจทก์จะต้องเพิ่มราคาค่าเช่าซื้อตามจำนวนที่บริษัทลดให้ โจทก์ต้องใช้ราคาที่จำเลยลดให้ 5,000 บาทแก่จำเลย พิพากษาให้โจทก์ชำระเงิน 5,000 บาทแก่จำเลย แล้วให้จำเลยโอนทะเบียนรถยนต์ตามฟ้องใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ ให้โจทก์เสียดอกเบี้ยตามฟ้องแย้งให้จำเลย เมื่อโจทก์ชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติการโอน ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา คำขอนอกนั้นยก

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือรับรองที่โจทก์ทำคำรับรองให้ไว้ต่อจำเลยนั้นโจทก์ได้ยินยอมผูกพันตนไว้หลายตอน ตอนแรกว่า “…นอกจากข้าพเจ้าจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวแล้ว ข้าพเจ้าขอรับรองต่อบริษัทฯ ตามเงื่อนไขแห่งข้อความต่อไปนี้อีกด้วยคือ…” และข้อ 2 แห่งหนังสือรับรองก็ว่า “เนื่องจากราคาค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่เช่าซื้อนี้บริษัทฯ ได้คิดให้ข้าพเจ้าในราคาต่ำกว่าราคาที่ขายทั่วไป ดังนั้น ในระหว่างอายุแห่งสัญญาเช่าซื้อยังไม่ครบกำหนด ข้าพเจ้าจะไม่นำรถคันที่เช่าซื้อนี้โอนให้แก่บุคคลภายนอกไม่ว่าโดยนิตินัยหรือพฤตินัยเป็นอันขาด และหากข้าพเจ้าจะต้องออกจากงานของบริษัทไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ข้าพเจ้าจะต้องจัดการชำระค่าเช่าซื้อที่ติดค้างทั้งหมดแก่บริษัทฯ ทันที หรือจะต้องเพิ่มราคาค่าเช่าซื้อตามจำนวนที่บริษัทฯได้ลดให้ และจัดหาหลักประกันให้แก่ บริษัทฯ จนเป็นที่พอใจแล้วแต่กรณี” และในข้อ 3 มีข้อความว่า “ให้ถือเอาเงื่อนไขแห่งหนังสือนี้ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งแห่งสัญญาเช่าซื้อฉบับลงวันที่ 11 เดือนเมษายนพ.ศ. 2511 โดยเป็นสารสำคัญอันเป็นเหตุให้บริษัทฯ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ในกรณีที่ข้าพเจ้าปฏิบัติผิดสัญญานี้ จากข้อความในหนังสือรับรองดังกล่าวแล้วนี้ ล้วนแต่เป็นเงื่อนไขที่โจทก์สมัครใจยินยอมผูกพันตนกับจำเลยเอง และยอมรับเอาผลที่จะเกิดจากการแสดงเจตนาตามข้อความในหนังสือรับรองนั้น ดังนั้น โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหนังสือรับรองดังกล่าว แม้จำเลยจะมิได้เซ็นชื่อในหนังสือนั้นก็ตามก็ถือได้ว่าจำเลยตกลงกับโจทก์ตามนั้น เพราะจำเลยเป็นฝ่ายยึดถือหนังสือรับรองนี้ไว้และยังถือได้อีกว่าหนังสือรับรองดังกล่าวเป็นเงื่อนไขอันหนึ่งของสัญญาเช่าซื้อด้วย เมื่อสัญญาเช่าซื้อสมบูรณ์ ข้อความตามหนังสือรับรองก็ใช้บังคับได้ไม่เป็นโมฆะ

พิพากษายืน

Share