แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีไม่มีการชี้สองสถาน คู่ความมีสิทธิขอแก้ไขคำฟ้องหรือคำให้การได้ก่อนวันนัดสืบพยาน
คำขอท้ายฟ้องในส่วนแพ่งมี 2 ข้อ จำเลยฎีกาว่า คำขอท้ายฟ้องในส่วนแพ่ง โจทก์ไม่มีสิทธิขอมาในคดีนี้ และไม่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา โดยจำเลยมิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาว่าเป็นคำขอข้อใด ฎีกาดังนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลย่อมไม่วินิจฉัยให้
จำเลยที่ 1 ขายห้องแถวให้จำเลยที่ 3 โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการซื้อขายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ห้องแถวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีเอากับห้องแถวนั้นได้ ศาลจึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า การซื้อขายนั้นเป็นการฉ้อฉลหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ไป โดยนำห้องแถวมาเป็นหลักประกันแล้วจำเลยที่ ๑ ไม่มีเงินชำระให้โจทก์ จึงมอบห้องแถวดังกล่าวให้โจทก์ยึดถือไว้จนกว่าจำเลยที่ ๑ จะหาเงินมาชำระให้ ต่อมาจำเลยที่ ๑ โอนห้องแถวดังกล่าวให้จำเลยที่ ๒,๓ โดยเจตนามิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ ซึ่งจำเลยทั้งสามทราบเรื่องดีอยู่แล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐,๘๓ ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์ และขอให้พิพากษาว่า การซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสามเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมก่อนวันนัดสืบพยาน ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต จำเลยทั้งสามยื่นคำแถลงโต้แย้ง คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว
จำเลยทั้งสามให้การแก้คำฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์จริง โดยโจทก์ไม่คิดดอกเบี้ย จำเลยที่ ๑ โอนห้องแถวให้จำเลยที่ ๒ มิได้โอนให้จำเลยที่ ๓ การโอนห้องแถวกระทำโดยสุจริต มีค่าตอบแทน และได้ทำสัญญากันไว้เป็นหนังสือ ทั้งมิได้มีเจตนาเพื่อไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และตัดฟ้องว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง และฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าการซื้อขายห้องแถวสมบูรณ์หรือไม่ เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเป็นโมฆะ เพราะโจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ยกฟ้องโจทก์ในคดีส่วนอาญา สำหรับคดี ส่วนแพ่งให้จำเลยใช้ต้นเงินแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การซื้อขายห้องพิพาทเป็นการฉ้อฉล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ แต่การซื้อขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องเพิกถอน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องนั้น ชอบแล้ว พิพากษาแก้เป็นว่า สัญญาซื้อขายห้องพิพาทไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ประทับฟ้องของโจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกจำเลย เมื่อจำเลยไปศาลและยื่นคำให้การแล้ว ศาลชั้นต้นได้นัดสืบพยานโจทก์โดยไม่ได้สั่งให้ชี้สองสถานก่อน คดีนี้จึงไม่มีการชี้สองสถาน คู่ความมีสิทธิขอแก้ไขคำฟ้องหรือคำให้การได้ก่อนวันนัดสืบพยาน และโจทก์ก็ได้ร้องขอแก้ไขคำฟ้องก่อนวันนัดสืบพยาน ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องนั้นจึงชอบแล้ว ข้อที่จำเลยฎีกาว่าคำขอท้ายฟ้องในส่วนแพ่ง โจทก์ไม่มีสิทธิขอมาในคดีนี้ และไม่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น และขอให้ศาลพิพากษาว่าการซื้อขายห้องแถวเป็นโมฆะ แต่จำเลยมิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาว่า คำขอท้ายฟ้องในส่วนแพ่งที่โจทก์ไม่มีสิทธิขอมาในคดีนี้เป็นคำขอข้อใด ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาย่อมไม่วินิจฉัยให้
สำหรับการซื้อขายห้องพิพาทนั้น เห็นว่าห้องพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ และจำเลยตกลงซื้อขายกันในฐานอสังหาริมทรัพย์ โดยจำเลยทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันเอง มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายระหว่างจำเลยจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ ห้องพิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งหากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้เงินกู้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิร้องขอขอให้บังคับคดียึดห้องพิพาทมาขายเอาเงินชำระหนี้ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่า การซื้อขายห้องพิพาทระหว่างจำเลยได้กระทำลงทั้งรู้ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบตามมาตรา ๒๓๗ หรือไม่ พิพากษายืน
(มงคล วัลยะเพ็ชร์ วิทูร เทพพิทักษ์ ล้วน นิลกำแหง)